คลังบทความภาษาไทย
- หน้าแรก
- เปรียบเทียบความเชื่อศาสนาต่าง ๆ
- เรื่องน่ารู้สำหรับผู้เชื่อใหม่
- วีดีโอคำพยาน
- ประวัติอัครสาวกทั้ง 12 คน
- โองการ
- My Inspiration Quotes
- ก่อนตายต้องรู้
- Keep Praying
- bright romance แสงสว่างเเห่งรักที่เเท้จริง
- English Articles
- Lost in my own thoughts
- My Stoties/เรื่องราวของฉันกับพระองค์
- The Perfect Stranger_Supper with Jesus 2005
- another perfect stranger christian movie
- Interesting videos
- คลังบทความภาษาไทย
- My Facebook
- I am a Stroke Survivor!!
- พระเยซูคริสต์ ภาษาไทย Jesus Christ Thai
- Ian's Testimony.
- The Hope ความหวัง
- เกิดอะไรขึ้นที่บนไม้กางเขน
- ปฏิหาริย์พระเยซู
- คำอธิษฐาน
- รวมเพลงคริสเตียนทาง you tube
- ทำไมพระเยซูตาย?
- วิทยาศาสตร์กับพระเจ้า(คุณหมอภากร)
- Amazing Evidence For God – Scientific Evidence For God
- รวมเพลงนมัสการ
- คริสตจักรของ พระคริสต์
- Bible coursesonline
- I love You My God
- พระเจ้าที่เรามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่เรารับรู้การมีอยู่ของพระองค์ได้
- ชีวิตของพระเยซูคริสต์
วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556
ทุกปัญหามีทางออก ใช้ชีวิตอย่างมีสติ
เมื่อต้นปี 2009 มีภาพยนตร์โฆษณาชิ้นหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขวัญจากผู้ชมเป็นจำนวนมากและได้รับรางวัลสื่อมวลชนดีเด่นประจำปี พ.ศ. 2552 ประเภทโฆษณา (Catholic Media Award 2009)
เป็นเรื่องของครอบครัวหนึ่งที่ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ภาพเริ่มจับที่พ่อกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ขณะที่ลูกชายวัยประมาณ 5 ขวบกำลังเล่นต่อไม้รูปทรงต่างๆ อยู่บนพื้นห้อง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พ่อเดินไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล...ว่าไงนะ ...โครงการล้ม...แล้วของที่ลงไปแล้วละ...”
“หมดกัน...สร้างมากับมือ” พ่อทรุดตัวลงหัวใจสลายเพราะธุรกิจที่ทำอยู่พังพินาศไปในชั่วพริบตา ความทุกข์ที่บีบคั้น ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ลูกชายก็ยังเล็กจะอยู่ได้อย่างไร พ่อเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานเพื่อจะหยิบอาวุธหวังจบชีวิตทั้งพ่อทั้งลูก
“โครม!” ตัวต่อไม้ที่ลูกชายกำลังก่อสร้างอยู่นั่นพังครืนลงมา
“หมดกัน...สร้างมากับมือ” ลูกอุทานออกมาด้วยประโยคเดียวกันกับพ่อ เด็กชายคงรู้สึกว่าสิ่งที่พยายามทำมายาวนานนั้นมันพังลงมาเพียงแค่พริบตาเช่นกัน เด็กชายฟุบหน้าลงกับฝ่ามือ
“ไม่เป็นไร สร้างใหม่ก็ได้...” เด็กชายเงยหน้าขึ้นด้วยแววตามุ่งมั่น คำพูดสั้นๆ ของเขา ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องหยุดคิด “ใช่..ไม่เป็นไร สร้างใหม่ก็ได้”
“ทุกปัญหามีทางออก ใช้ชีวิตอย่างมีสติ...ยาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว”
เบื้องหลังโฆษณายาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว
คุณสุวรรณา อัครพงศ์พิศักดิ์ ทายาทรุ่นลูกของธุรกิจเซียงเพียวอิ๊ว และผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่มวัยรุ่นภายใต้แบรนด์ เปปเปอร์มินท์ฟิว ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เล่าถึงสปอร์ตโฆษณาชุด “ทุกปัญหามีทางออก ใช้ชีวิตอย่างมีสติ” ว่า เธอได้รับแรงบันดาลใจจากการเข้าชั้นศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ในวันพฤหัสที่คริสตจักร Church of Joy (คริสตจักรแห่งความสุข) สอนโดย ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ วันนั้นท่านสอนพระธรรมปฐมกาล และได้โยงไปเรื่องความรัก หลายครั้งที่คนเรารักผิด รักไม่เป็น รักแบบไม่เข้าใจ พอดีกับช่วงนั้นประเทศชาติกำลังประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ บริษัทหลายแห่งต้องปิดตัวลง คนทำธุรกิจหลายคนประสบปัญหามากมาย พอธุรกิจล้มไม่มีงาน ไม่มีเงิน แต่ด้วยความรักลูกและครอบครัว จึงคิดสรุปเอาเองว่าพวกเขาจะอยู่ต่อไปไม่ได้แน่ ถ้าอย่างนั้นควรจะตายไปพร้อมกันดีกว่า ดังที่เรา พบเห็นได้จากข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ที่ว่า ธุรกิจล้ม เจ้าของฆ่าลูกๆ ภรรยา และฆ่าตัวตายตาม ซึ่งนำความเศร้าสลดใจต่อผู้อ่านเป็นอย่างมาก การกระทำเหล่านี้เป็นการแสดงความรักที่ไม่ถูกต้อง ตอนนั้นเองทำให้คุณสุวรรณาคิดถึง “อากง” ของเธอ ซึ่งภาพของท่านปรากฏเป็นโลโก้บนกล่องผลิตภัณฑ์เซียงเพียวอิ้ว เธอคิดว่าในยามที่ประเทศชาติเจอปัญหา ประชาชนหัวเราะไม่ออก “อากง” อยากจะพูดอะไรกับคนไทยในวันนี้บ้าง จึงเกิดเป็นความคิดที่ว่า “อากง” น่าจะให้คำเตือนสติ ให้ได้คิดว่า “ทุกปัญหามีทางออก” ก็เลยนำความคิดนี้มาบอกกับทีมงานเพื่อช่วยกันระดมสมองและกลายมาเป็นโฆษณาชุด “ทุกปัญหามีทางออก ใช้ชีวิตอย่างมีสติ”
เบื้องหลังชีวิตผู้คิดโฆษณายาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว
กว่าจะมาเป็นสุวรรณาในวันนี้ ใครจะรู้ว่าหญิงแกร่งมากความสามารถคนนี้เคยเฉียดความตายมาแล้ว ย้อนไปเมื่อครั้งเรียนในระดับอุดมศึกษา คุณสุวรรณาสอบเข้าเรียนต่อได้ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้รับการยกเว้นไม่ต้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน จึงมีชั่วโมงว่างมาก เมื่อว่างมากก็เที่ยวมาก เรียนไปได้ 6 เดือนผลสอบออกมาคะแนนต่ำมาก ช่วงนั้นพี่สาวคนโตของคุณสุวรรณาเพิ่งจบปริญญาตรีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกำลังจะไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา คุณแม่จึงขอให้พาเธอไปด้วย คุณสุวรรณาจึงได้ไปเรียนที่ Oregon State เรียนระดับปริญญาตรี ช่วงที่เรียนปี 1 – ปี 3 คุณสุวรรณาก็ยังคงเที่ยวเล่นกินดื่มเหมือนเดิม แต่ก็พยายามทำเกรดให้ดีๆ เพื่อแม่จะภูมิใจและมีอะไรไปคุยกับคนอื่นได้บ้าง เรียกว่าเรียนเพื่อรักษาหน้าแม่เท่านั้น ในใจจริงแล้วไม่รู้ว่าเรียนไปเพื่ออะไร และไม่ชอบเรียนหนังสือ
ตอนที่คุณสุวรรณาเข้าพักในหอพักของมหาวิทยาลัย เธอได้เพื่อนร่วมห้องที่เป็นคริสเตียน...เป็นคนชาติอเมริกัน ชื่อ เดนเนท Dennette เป็นคนอเมริกัน สิ่งที่เพื่อนคนนี้ทำเป็นประจำคือ ก่อนนอนทุกวันเธอจะคุกเข่าก้มหัวอธิษฐานที่ปลายเตียงเหมือนในรูปที่เราเห็นกันชินตา สุวรรณารู้สึกว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนที่มีจิตใจดีมาก ยิ่งเวลาที่พ่อแม่และน้องชายมาเยี่ยมเดนเนท พวกเขาจะร้องเพลงและเล่นกีตาร์กัน ช่างเป็นภาพที่สวยงาม อบอุ่นและมีความสุขมาก เป็นความอบอุ่นที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทอง ทำให้คุณสุวรรณาสงสัยว่าพวกเขาไม่ได้ร่ำรวย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจบไปแล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับเธอแล้วเธอมีงานมีอนาคตที่ดีรออยู่ แต่ทำไมพวกเขาจึงดูมีความสุขจริงๆ เพื่อนเริ่มชวนเธอไปปาร์ตี้ที่บ้านคริสเตียน ซึ่งเธอชอบมากเพราะเป็นคนที่ชอบพูดคุย ชอบมีเพื่อน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายในเรื่องความเชื่อของคริสเตียนหรือเรื่องพระเจ้า
คุณสุวรรณาเล่าให้ฟังว่า เธอชอบไปงานปาร์ตี้มากๆ ไปบ่อย และดื่มหนัก เธอจำได้ไม่ลืมว่า วันหนึ่งมีการแข่งขันดื่มเบียร์กระป๋องโดยจะต้องดื่มให้ได้มากและเร็วที่สุด เธอจึงใช้วิธีที่เคยดูมาจากในภาพยนต์ คือเอาดินสอเจาะเป็นรูแล้วเอานิ้วกดปิดเอาไว้ ให้มันอัดแน่นๆ พอเปิดออกมามันจะพุ่งแรงและเร็ว เธอดื่มไปได้ 2 กระป๋อง ก็ล้มลงและหายใจไม่ออก เธอไม่สบายมากต้องนอนอยู่ที่หอพักออกไปไหนไม่ได้
ยิ่งกว่านั้น ในวันรุ่งขึ้นคุณสุวรรณาก็ต้องเจอกับอีสุกอีใสที่แวะมาเยี่ยมเยียนในวัยและเวลาที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง การเป็นอีสุกอีใสตอนโตจะเจ็บปวดทรมานมาก จนเธอเดิน นอนไม่ได้ แต่ก็ได้เดนเนทคอยหาอาหารมาให้ที่หอพัก ช่วงนั้นหิมะตกหนัก บรรยากาศเงียบมาก ไม่มีใครเลยต้องอยู่แต่ในห้อง ออกไปไหนก็ไม่ได้ ทำให้เธอนอนคิดทบทวนว่าตนเองทำอะไรลงไป ถ้าหากแม่รู้เข้าจะเสียใจแค่ไหน พ่อแม่ส่งให้มาเรียนถึงอเมริกาก็ยังเกเร ถ้าหากเป็นอะไรไปแม่จะต้องตายตามเธอไปแน่ๆ ตอนนั้นเธอคิดเลยเถิดไปว่าชีวิตตนเองเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อเรียนหนังสือ และกลับไปทำงานเป็นเจ้าคนนายคนอย่างนั้นหรือ คนเราเกิดมาทำไมกันแน่
คุณสุวรรณาคิดวนเวียนอยู่ในใจเช่นนี้ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่เธอนอนป่วยอยู่ พอหายก็ขี่จักรยานไปเรียนหนังสือ ซึ่งเธอจำได้แม่นยำว่าวันนั้นหิมะตกหนัก จนเพื่อนๆ มาเรียนไม่ได้ ในห้องเรียนมีเพียง “แมรี่” คนเดียว แมรี่เป็นคนที่เชยมาก คุณสุวรรณาไม่ชอบและไม่คิดที่จะคุยด้วยเพราะรู้สึกว่าคุยแล้วน่ารำคาญ พูดกันคนละเรื่อง วันนั้นแมรี่เป็นฝ่ายเดินมาหาเธอและถามเธอว่า “เชื่อพระเจ้าไหม?”
คุณสุวรรณาตอบกลับไปว่า “ไม่เชื่อ”
“แล้วเชื่ออะไร” แมรี่ถามต่อ
“เชื่อตัวเอง เชื่อในความดีของตัวเอง” คุณสุวรรณาตอบ
แมรี่หยิบหนังสือเล่มเล็กๆออกมา ชื่อภาษาอังกฤษว่า 4 laws ของ Campus Crusade for Christ ชื่อภาษาไทยว่า หลักสัจธรรม 4 สู่ชีวิตนิรันดร์ และบอกว่าจะขอแบ่งปันอะไรให้ฟังได้ไหม แล้วเธอก็อ่านข้อความในหนังสือให้ฟังว่า พระเจ้าคือใคร? พระเยซูมาทำไม?
ตอนนั้นคุณสุวรรณากลับคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่มีคำพูดประโยคหนึ่งที่ติดเข้าไปในใจของเธอคือคำพูดที่ว่า “ชีวิตของคนเรามันซับซ้อนยิ่งกว่านาฬิกา” นาฬิกาเรือนเล็กๆ 1 เรือน มีส่วนประกอบกว่า 200 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเม็ดมะยม เข็มสั้นเข็มยาว เฟืองหมุน เป็นไปได้ไหมหากนำอุปกรณ์กว่า 200 ชิ้นมาเขย่ารวมกันแล้วมันจะลงล๊อคได้พอดิบพอดี เมื่อนาฬิกายังต้องมีคนสร้าง แล้วชีวิตคนเราซึ่งมีความซับซ้อนมหาศาล ข้อต่อเส้นประสาทนับล้านๆ เส้น มันจะบังเอิญเกิดขึ้นมาอย่างพอเหมาะพอดีได้อย่างไร ในใจของคุณสุวรรณาคิดว่าน่าจะมีคนสร้างเราขึ้นมาอย่างที่แมรี่บอก แต่ก็ยังไม่เชื่อ เพราะเรื่องราวของพระเจ้าพระเยซูคริสต์เป็นของใหม่สำหรับเธอ ขณะเดียวกันเธอก็ไม่เชื่อด้วยว่ามนุษย์มาจากลิง
เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ว่าเย็นวันเดียวกันเพื่อนชายที่คุณสุวรรณาซึ่งกำลังคบอยู่ในเวลานั้นได้ไปพบจักษุแพทย์ซึ่งเป็นคริสเตียนและคุณหมอก็ได้เล่าเรื่องของพระเจ้าให้เขาฟังเช่นเดียวกัน เธอรู้สึกแปลกใจมากที่วันเดียวกันมีคนพูดเรื่องพระเจ้าให้เธอและเพื่อนชายฟังเหมือนกัน ทำให้เธอคิดถึงเพื่อนร่วมห้องที่เป็นคริสเตียนจึงตัดสินใจไปร่วมการประชุมที่คริสตจักร ซึ่งเธอชอบมาก เพราะได้พูดคุยกับพี่น้องคริสเตียนและทำให้อยากรู้จักพระเจ้ามากขึ้น ในที่สุดก็ได้ต้อนรับพระเจ้าพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต คุณสุวรรณาบอกว่าเธอเองไม่รู้ว่าพระเยซูเข้ามาในชีวิตของเธออย่างไร แล้วเข้ามาจริงๆ หรือไม่ แต่เธอได้สัมผัสกับสันติสุขที่อยู่ภายในจิตใจของเธอ เมื่อคุณสุวรรณาเดินทางกลับมาประเทศไทยก็ได้ไปร่วมนมัสการที่คริสตจักรนิมิตใหม่เป็นแห่งแรกและร่วมทำกิจกรรมกับทีมงานไทยแลนด์แคมพัสครูเสดฟอร์ไครส์ ทำให้ได้เรียนรู้หลายอย่างและเติบโตขึ้น จนในที่สุดได้เข้าพิธีประกาศตนเป็นคริสเตียนที่ ค่ายเมืองพัทยาปี 1985
เมื่อคุณสุวรรณาเดินทางกลับประเทศไทยเป็นช่วงที่ตัดสินใจเป็นคริสเตียนใหม่ๆ ยังขาดความเข้าใจอยู่หลายเรื่องจึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด การขัดขวาง การต่อต้านจากครอบครัวเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งคุณแม่ถึงกับเอาเสื้อผ้าของคุณสุวรรณาไปให้หมอผีปลุกเสก ปัดรังควาน สมัยนั้นคุณสุวรรณาจะพูดติดปากว่า “ขอบคุณพระเจ้า” ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานอาหาร ประทานโน่นประทานนี่ให้ จนคุณพ่อคุณแม่รู้สึกเสียใจ ท่านมักจะถามว่า เสื้อผ้าที่ใส่พ่อแม่ก็ซื้อให้ รถที่ขับพ่อแม่ก็ซื้อให้ ค่าเล่าเรียนพ่อแม่ก็ออกให้ ตรงไหนพระเจ้า เธอก็ตอบท่านไม่ถูก บางที่ครอบครัวขอให้เธอไปร่วมงานเชงเม้ง เธอจะชอบพูดว่าเป็นคริสเตียนแล้วไปเชงเม้งไม่ได้ ไปวัดเธอก็บอกว่าไปไม่ได้ ไปโน้นไม่ได้ ไปนี่ไม่ได้ ไม่ได้ไปหมด โดยที่เธอเองไม่เข้าใจว่าแก่นของวัฒนธรรมนั้นคืออะไร ที่จริงแล้วเชงเม้งคือการระลึกถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษ ผู้มีพระคุณของครอบครัว พอเธอบอกว่าทำไม่ได้ เธอไม่ไป ญาติพี่น้องก็มองว่าเธอเป็นคนอกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ทั้งที่พระเจ้าสอนให้เราเคารพให้เกียรติพ่อแม่ และบรรพบุรุษของเรา คุณแม่คุณสุวรรณาเองถึงกับขอร้องเธอว่าห้ามประกาศหรือพูดเรื่องพระเยซูคริสต์ ห้ามพูดให้คนอื่นฟังเพราะอายเขา
เวลาผ่านไปคุณสุวรรณเรียนรู้มากขึ้น แม้คุณพ่อคุณแม่ของคุณสุวรรณายังไม่เปลี่ยนความคิด แต่แทนที่เธอจะตอบแบบเดิม เธอก็เปลี่ยนใหม่เช่น “นา” ขอบคุณพระเจ้าที่เกิดมาเป็นลูกป๋า ขอบคุณที่ป๋ารัก“นา” ส่งเสียให้ “นา” เรียนหนังสือ ซื้อรถให้ ซื้อบ้านให้ ซึ่งทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีขึ้น เมื่อก่อนคุณสุวรรณาไม่ได้ถูกสอนมาแบบนี้เลยขาดความเข้าใจ เวลาตอบอะไรไปก็ทำให้ครอบครัวโกรธเหมือนไปยั่วยุท่าน สิ่งที่ท่านจัดหามาให้เราด้วยความเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก เรากลับไม่ขอบคุณแต่ไปขอบคุณคนอื่นแทน จริงๆ แล้วท่านทั้งสองรักคุณสุวรรณามาก เป็นความรักที่มีความไว้วางใจกัน เชื่อใจกัน ถึงวันนี้ลูกจะมีความเชื่อต่างกันแต่ความรักผูกพันธ์ยังคงอยู่
พี่ๆ ทุกคนก็เข้าใจเธอเป็นอย่างดี มีพี่สาวคนหนึ่งที่เพิ่งตัดสินใจรับเชื่อพระเจ้าไม่นานมานี้ แม้ว่าปัจจุบันคุณแม่ได้จากไปแล้ว คุณสุวรรณาก็ยังรักท่านอยู่เสมอ ในวันครบรอบวันจากไปของท่านคุณสุวรรณาก็จะไปวัดพร้อมกับพี่น้องด้วย
เบื้องหลังชีวิตครอบครัว
คุณสุวรรณาแต่งงานกับคุณประเสริฐ อัครพงศ์พิศักดิ์ มีบุตรสาว 2 คน คือน้องมีนา อายุ 16 ปี และลีนา อายุ 12 ปี คุณสุวรรณาได้แบ่งปันถึงช่วงที่ได้พบกับคุณประเสริฐครั้งแรก เป็นช่วงที่เธอกลับมาเมืองไทยและเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ คุณประเสริฐเป็นรุ่นพี่ เรียนจบปริญญาตรีมาจากสหรัฐอเมริกาเช่นกันและกำลังเรียนปริญญาโทอยู่ คุณประเสริฐไม่ได้เป็นคริสเตียนไม่รู้จักเรื่องราวของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ แต่คุณประเสริฐเป็นคนที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวที่น่าสนใจ เป็นคนเก่ง ฉลาดและเป็นผู้นำ คุณสุวรรณาเองก็กำลังอธิษฐานในเรื่องคู่ครองอยู่ พี่เลี้ยงในคริสตจักรที่เป็นคนสอนและดูแลเรื่องความเชื่อของเธอแนะนำให้อธิษฐานแบบเฉพาะเจาะจงในเรื่องคู่ชีวิต โดยให้เขียนรายละเอียดเป็นข้อๆ ซึ่งเธอได้ทำตาม คุณสุวรรณาได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวของพระเจ้า ให้คุณประเสริฐฟัง เขาเองก็สนใจ และไปศึกษาที่คริสตจักรหลายแห่ง แต่เนื่องจากขณะนั้นคุณสุวรรณายังเปรียบเสมือนคริสเตียนเด็กๆ ยังเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของความรักพระเจ้า จึงนำเอาหลักคำสอนต่างๆ ไปยัดเยียดใส่ในหัวของคนรอบข้าง เป็นการให้ความรู้ที่ขาดความรัก เหมือนการบังคับที่ขาดความเข้าใจ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง จึงทำให้ตนเองและคนรอบข้างเครียดไปหมด รวมทั้งคุณประเสริฐด้วย ด้วยเหตุนี้เองคุณสุวรรณาและคุณประเสริฐได้เลิกคบหากันไปถึง 3 ปี
แต่พระเจ้าได้จัดเตรียมคุณประเสริฐไว้เป็นคู่ชีวิตและคู่พระพรของคุณสุวรรณา ในที่สุดทั้งสองได้กลับมาเจอกันอีก ครั้งนี้คุณสุวรรณาเติบโตขึ้นในความเชื่อ มีความอ่อนโยนและเข้าใจมากขึ้นว่าแก่นแท้ของชีวิตคือความรักของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อเราทุกคน คนจะรู้จักพระเจ้าไม่ใช่ใช้ความรู้หรือสติปัญญาเท่านั้นแต่โดยความรักและความดีของพระเยซูคริสต์ที่กระทำผ่านชีวิตของเราไปยังเขาต่างหาก เป็นความจริงใจมิใช่คำพูด ในที่สุดคุณประเสริฐก็ได้รู้จักและมีประสบการณ์กับพระเจ้าด้วยตัวของเขาเอง ปัจจุบันครอบครัวนี้เป็นสมาชิกคริสตจักร Church of Joy (คริสตจักรแห่งความสุข) ที่สุขุมวิทซอย 16 และทุกเย็นวันศุกร์คุณสุวรรณาจะเปิดบ้านเป็น care group เพื่อร่วมนมัสการและสามัคคีธรรมกับพี่น้องคริสตจักร ส่วนวันอังคารและวันเสาร์ก็ทำกลุ่มให้คำปรึกษา “Hope Alive”
ขณะนี้ลูกสาวทั้งสองของคุณสุวรรณาเรียนอยู่ที่ International School of Bangkok และกำลังอยู่ในช่วงของวัยรุ่น มุมมองในการเลี้ยงดูลูกวัยรุ่นของคุณสุวรรณาแตกต่างออกไปโดยเธอให้ความเห็นว่า เราต้องไม่ทำตัวเป็นเพื่อนลูก ลูกมีเพื่อนได้หลายคนแต่ลูกมีแม่ได้คนดียว คนเราจะเป็นเพื่อนกันได้ต้องมีมุมมองในชีวิตที่คล้ายกันก่อน มีประสบการณ์ที่เท่ากัน แต่แม่อายุห่างจากลูกมาก ประสบการณ์ความคิดก็ไม่เท่ากัน ดังนั้นแม่ต้องเป็นคนชี้แนะลูก ต้องทำหน้าที่ของแม่ แม่ Friendly ได้ แต่แม่ต้องมีความเป็นแม่ คือต้องให้กฎเกณฑ์กับลูก สามารถทำโทษลูกเท่าที่จำเป็นและสั่งสอนลูก มีมิชชั่นนารี่ท่านหนึ่งสอนคุณสุวรรณาว่า แม่ควรจะอธิษฐานให้ลูกมีเพื่อนสักคนหนึ่งที่เป็นคริสเตียนที่ดีและไว้ใจได้ และให้ลูกไว้ใจเขาพอที่จะปรึกษาเขาได้ในเรื่องที่เขาไม่ปรึกษาเรา และเพื่อนคนนี้สามารถมาพูดกับเราได้ เพราะบางครั้งลูกวัยรุ่นไม่อยากคุยกับพ่อแม่แต่อยากคุยกับเพื่อน คุณสุวรรณาบอกว่าแม่ต้องเข้าใจว่าการเลี้ยงลูกให้ได้ดีก็เพื่อตัวของลูกไม่ใช่เพื่อตัวของเรา เพื่อชีวิตของเขาไม่ใช่เพื่อเรา และเนื่องจากคุณสุวรรณาเป็นนักกีฬาก็จะสอนเกี่ยวกับเรื่องของกฎกติกา นักกีฬาจะลงสนามต้องเข้าใจวิธีการเล่น รู้กฎ รู้ข้อห้าม เช่นเดียวกับชีวิตที่ต้องมีกฎกติกาชีวิต กฎกติกาสังคม กฎกติกาพระเจ้า เมื่อลูกรู้กฎ ลูกก็เล่นได้สบาย และรู้จักระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้นด้วย คุณสุวรรณาเลี้ยงลูกอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีการเสแสร้ง เมื่อโกรธลูกก็จะรู้ว่าโกรธ เมื่อผิดก็สามารถขอโทษลูกได้ แต่เมื่อลูกมีปัญหาเขาก็จะมาหา แม่ก็ให้คำปรึกษาและอธิษฐานเผื่อลูกๆ
เบื้องหลังความสำเร็จ
หลายคนมีคำถามว่าการเป็นคริสเตียนที่ดีจะสามารถเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้อย่างไรสำหรับคุณสุวรรณาแล้วเธอมีความเชื่อว่าในชิวิตของเรานั้นมีหลายอย่างที่เราสามารถควบคุมได้ ขณะเดียวกันก็มีบางอย่างที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเธอจะไม่เสียเวลากับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่จะใช้เวลาในการอธิษฐานในเรื่องนั้น นอกจากนี้การทำธุรกิจยึดหลักซื่อสัตย์ต่อลูกค้าเป็นสำคัญ ทำอะไรตรงไปตรงมา เช่น คุณสุวรรณาต้องรับผิดชอบทำโฆษณาสินค้าในประเทศกัมพูชา โดยมีรางวัลให้กับผู้ซื้อชนิดขูดปุ๊บรับปั๊บ โดยกำหนดรางวัลต่างๆ ไว้ สมมุติว่าเป็นรางวัลใหญ่ 5 รางวัล รางวัลละ 10,000 บาท บางคนขอให้ทำโฆษณาว่ามีรางวัลใหญ่ถึง 50 รางวัล เพื่อกระตุ้นยอดขายและให้เหตุผลว่าสินค้ายี่ห้ออื่นเขาก็ทำกัน ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ เราจะให้กี่รางวัล แต่สำหรับคุณสุวรรณาแล้วเธอไม่ยอมทำเด็ดขาด ถ้ามี 5 รางวัลก็ต้องประชาสัมพันธ์ว่า 5 รางวัล ต้องไม่โกหกลูกค้า ตอนแรกก็ถกเถียงกันมากกลัวยอดขายจะตก แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอม เพราะคุณสุวรรณายื่นยันชัดเจนที่จะทำอย่างตรงไปตรงมา เพราะถึงแม้ลูกค้าไม่รู้ แต่ตัวเรารู้ ก็จะทำให้พูดหรือสอนลูก ๆ เรื่องความซื่อสัตย์ไม่ได้
ในเรื่องการปกครองดูแลลูกน้อง คุณสุวรรณาจะยึดความจริงใจ และความซื่อสัตย์เป็นหลัก ไม่หลอกพนักงาน คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ยึดหลักการทำงานเป็นทีม มีความไว้วางใจในทีมงาน โดยคุณสุวรรณาจะอธิษฐานเผื่อทีมงาน เพื่องานแต่ละชิ้น พึงพาพระเจ้าในทุกเรื่อง นอกจากนี้คุณสุวรรณาจะให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ เพราะลูกน้องทำงานกับเราวันหนึ่งเขาก็ต้องจากไปแต่ความสัมพันธ์ยังคงยืนยาวตลอด เงินทองหมดก็หาใหม่ได้แต่ถ้าหมดความสัมพันธ์แล้วหาใหม่ไม่ได้ หมดแล้วหมดแลย ด้วยความรักของพระเจ้าที่สำแดงผ่านชีวิตของคุณสุวรรณาทำให้ลูกน้องประทับใจ แต่ละคนจึงทำงานที่นี่ยาวนาน มีบางคนที่สร้างปัญหาก็จะเรียกมาเตือนถึง 3 ครั้ง หลังจากนั้นหากยังไม่ปรับปรุงแก้ไขก็จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบุคคลดำเนินการต่อไป ปัจจุบันคุณสุวรรณามีพนักงานประจำสำนักงานประมาณ 70 คน พนักงานโรงงานอีกกว่า 100 คน มีคริสเตียนอยู่ 5 คน ในช่วงคริสตมาสเธอจะจัดงานให้พนักงานได้มีโอกาสฟังเรื่องราวดีๆ ด้วย แต่คุณสุวรรณาจะระมัดระวังในเรื่องการประกาศและให้เกียรติพนักงาน เธอจะไม่เอาพระเจ้ามายัดเยียดให้ลูกน้อง เพราะพระเจ้ายิ่งใหญ่และสูงค่าเกินกว่าที่เราจะยัดเยียดให้กับใครได้ ด้วยเหตุนี้เองพนักงานจึงไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ แต่สนใจจริงๆ จึงมีคนที่ได้ยินได้ฟังและตัดสินใจเชื่อไว้วางใจพระเจ้าแล้ว 3 คน และได้ไปร่วมนมัสการเป็นประจำที่คริสตจักร
พระธรรมนำชีวิต
สำหรับคำถามว่า คุณสุวรรณาใช้พระคำข้อไหนหรือตอนไหนในการเลี้ยงลูกและในการปกครองลูกน้อง เธอให้ข้อคิดว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่สามารถแบ่งได้ว่า ถ้าอยู่ในครอบครัวต้องใช้พระคัมภีร์ข้อนี้ หรือถ้าอยู่ที่ทำงานใช้อีกข้อ อยู่คริสตจักรหรือที่อื่นก็ใช้ต่างกันไป ซึ่งดูเหมือนเอาพระคำของพระเจ้ามาถอดเข้าถอดออก แต่คุณสุวรรณามองว่าพระคำของพระเจ้าเป็นวิถีชีวิตที่ไม่สามารถแยกหรือคัดตอนหนึ่งตอนใดมาใช้ในแต่ละสถานการณ์เท่านั้น
แต่ถ้าต้องการให้ตอบคำถามว่าระยะนี้ของชีวิตชอบพระคำตอนไหน คุณสุวรรณาเลือกพระธรรมมาระโก 12 ข้อ 30 ว่า“และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน” เป็นพระธรรมที่สอนใจเธอว่า ความรักของเราต่อพระเจ้านั้นควรเป็นเหมือนเด็ก ๆ คือรักหมดใจไม่คิดอะไรมาก และเนื่องจากช่วงนี้คุณสุวรรณาทำกลุ่มให้คำปรึกษา “Hope Alive” ซึ่งช่วยให้คนที่มีแผลบาดลึกในชีวิตตั้งแต่วัยเด็กสามารถเผชิญความจริงเกี่ยวกับตัวเอง รู้จักตัวเองดีขึ้น และเติบโตด้านอารมณ์จิตใจมากขึ้น เธอจึงประทับใจพระธรรมยอห์น 8 ข้อ 32 ”และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท” เพราะจากการสังเกตคนรอบข้าง ไม่ว่าพี่น้องในคริสตจักร หรือ ลูกๆ และตัวเอง ดูเหมือนว่ามีความกลัวบางอย่างอยู่ในชีวิตโดยที่เราไมรู้ว่านั่นเป็นความกลัว แต่ถ้าเราลองถามตัวเองดูว่า จริงๆแล้วเรากลัวอะไรอยู่หรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วเรากลัวที่จะเผชิญกับความจริง เมื่อพระคัมภีร์บอกเราว่า “สัจจะทำให้เราเป็นไท” จึงเป็นความจริงแท้ เพราะสัจจะคือพระคำพระเจ้าเป็นพระคำแห่งความจริง และทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวทั้งสิ้น
คุณสุวรรณาได้ฝากข้อคิดทิ้งท้ายไว้ให้พวกเราว่า “ ชีวิตคนเราสั้นนัก ทุกวันนี้ที่เรายังมีลมหายใจอยู่ก็เป็นพระคุณพระเจ้า ให้มองและทำทุกอย่างเป็นเหมือนงานอดิเรก เพราะจะทำให้เรามีความสุข ทำงานด้วยความสนุก และไม่เครียดกับมัน แต่การเป็นคริสเตียนไม่ใช่เป็นงานแต่เป็นชีวิตของเราทั้งหมด คือเป็นวิถีชีวิตที่เดินไปได้ด้วยความจริงของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นคำตอบของทุกปัญหาในชีวิต ดังนั้นเราจึงต้องไม่ลืมว่า “ทุกปัญหามีทางออก ใช้ชีวิตอย่างมีสติ”
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)