คลังบทความภาษาไทย

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความหวัง กำลังใจ ชัยชนะ



เขียนโดย คุณแม่สุภาพร กัณฑะเสณ   
“ชีวิตล้วนอนิจจังแม้จะมีความทุกข์สักเท่าใดพระองค์ทรงเคียงใกล้ไม่เคยห่าง ทรงช่วยผ่อนทุกข์ หนักให้เบาบาง ความเจ็บปวดบ้างพระสร้างให้รู้คุณ ยามสุขเราสรรเสริญพระองค์เจ้า ยามเศร้ามีพระองค์ทรงเป็นเพื่อน ช่วยอบรมข่มจิตสนิทเตือน

พระเป็นพ่อและ เพื่อนจงอย่ากลัว ชีวิตเราเหมือนเทียนที่จุดไว้ มอดไหม้ไป นานๆ ก็พาลหมด ทุกสิ่งเราสร้างแม้เกียรติยศ ก็สูญสิ้นหมด ล้วนอนิจจัง” ชีวิตที่เกิดมาทุกชีวิตต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บมากมาย ตั้งแต่เกิดมา จนกระทั่งจากโลกนี้ไป แต่โรคร้ายที่คร่าชีวิตคนในโลกนี้ไปมากต่อมากมาแล้วโรคหนึ่งคือ โรคมะเร็ง ถ้าใครก็ตามที่เจ็บป่วยและตรวจพบว่าเป็นมะเร็งก็จะหมดกำลังใจ สิ้นหวัง เพราะรู้ว่าการรักษาโรคนี้ต้องใช้จ่ายเงินมาก และไม่แน่ใจว่ารักษาแล้วจะหายหรือไม่ หรือบางคนรักษาไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่นานนักก็ต้องเสียชีวิต แต่มีชีวิตหนึ่ง ที่เป็นมะเร็ง ครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านผู้นี้มีความหวัง มีกำลังใจ และมีชัยชนะต่อโรคร้าย ท่านทำให้เราเห็นว่า แม้ร่างกายจะถูกมะเร็งร้ายกัดกิน แต่วิญญาณจิตของท่านยังคงมีชัยชนะเหนือโรคร้ายนั้น ท่านทำได้อย่างไร

      คุณสุภาพร กันทะเสน อายุ 60 ปี สมรส และมีบุตรสาว 2 คนเป็นสมาชิกคริสตจักร นิมิตใหม่ ทั้ง ครอบครัว คุณแม่สุภาพรมาเป็นคริสเตียนเพราะลูกสาวคนโตมาเชื่อพระเจ้าก่อน  จากนั้นก็พาคุณพ่อและคุณแม่รวมทั้งน้องสาวมาเชื่อพระเจ้า ท่านเล่าให้เราฟังถึงช่วงเวลาที่ท่านต้องสัมผัสกับโรคร้าย ดูเหมือนชีวิตจะหมดกำลังเรี่ยวแรงที่จะดำเนินชีวิตต่อไปและแล้วคำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมก็มีพลัง ทำให้โรคร้ายหายได้ ท่านเล่าให้ฟังว่า “เมื่อประมาณ 12 ปีมาแล้ว แม่ได้ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งที่เต้านม ลูกสาวที่เป็นคริสเตียนก็ได้พาพี่น้อง ที่คริสตจักร มาอธิษฐานเผื่อแม่ และพี่น้องก็ได้ช่วยกันอธิษฐานเผื่อให้แม่หายจากการเป็นมะเร็งนี้และพระเจ้าก็ทรงรักษาให้หาย” แต่แล้ว ในปีที่ผ่านมาท่านก็เกิดโรคร้ายนี้ขึ้นอีกครั้ง ท่านเล่าให้เราฟังต่อว่า “เมื่อปีทีแล้วแม่ไปพบหมอ หมอก็ได้ตรวจพบกระดูกที่หน้าอกโตขึ้นและพบก้อนเนื้อที่ปอด หมอบอกว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่กระดูกและที่ปอด ที่กระดูกโตวัดได้ 4 เซนติเมตร และที่ปอดเป็นก้อนเนื้อมะเร็งทำให้มีน้ำท่วมปอด จากนั้นก็เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล แม่เองมีความเชื่อในพระเจ้าแม่จึงได้อธิษฐานให้พระองค์ทรงรักษาแม่ผ่านทางหมอและยาที่ให้ จากนั้นแม่ได้กลับไปตรวจดูมะเร็งอีกครั้งปรากฏว่าก้อนมะเร็งร้ายหายไป หมอแปลกใจมากเพราะบางคนก้อนเนื้อจะขึ้นมาอีก แต่ของแม่ก้อนเนื้อหายไปเลย ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงรักษาแม่อีกครั้ง ปัจจุบันแม่เป็นปกติดีเหมือนคนทั่วไป แต่ละครั้งในชีวิตที่ต้องเผชิญกับโรคร้าย ไม่ง่ายเลยที่จะมีกำลังต่อสู้ได้ในทุกสถานการณ์ สิ่งใดกันคือพลังที่จะหล่อหลอมจิตใจให้มีกำลังขึ้นที่จะสู้ต่อไป “เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับชีวิตแม่ แม่จะยอมรับตรงนั้น และมีความเชื่อและวางใจในพระเจ้าว่าจะทรงรักษาให้หาย พระเจ้าคงอยากให้แม่เห็นพระคุณของพระองค์ที่มีต่อชีวิตแม่ แม่คิดเสมอว่าเมื่อสิบกว่าปี ก่อน พระองค์ทรงรักษาแม่อย่างไรมาวันนี้ถ้าพระเจ้าจะให้เป็นอีก พระองค์ก็ต้องรักษาให้แม่หายอีกเช่นกัน

      พระคำ ตอนที่หนุนใจแม่มากคือใน สดุดี 57 : 1 ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระกรุณา ต่อข้าพระองค์ ขอทรง พระกรุณาต่อข้าพระองค์ เพราะจิตวิญญาณของข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ ข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีก ของพระองค์ จนกว่าภัยอันตรายจะผ่านพ้นไป’ อยากหนุนใจสำหรับคนที่ท้อใจว่า เมื่อท้อใจขอให้อ่านพระคำของพระเจ้า พระคำทุกบททุกตอนจะหนุนใจเราทำให้มีกำลังขึ้นโดยพระองค์ พระวจนะของพระเจ้ายังคงอยู่เคียงข้างชีวิตของท่านเสมอ ท่านได้แบ่งปันให้เราฟังถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ท่านจดจำได้ดีเสมอ คือ “แม่จะชอบอ่านพระคำของพระเจ้าอย่างเช่น ใน 1 โครินธ์ 13 เรื่องของความรัก ในปัญญาจารย์ 5 : 8 ที่ว่า ‘ถ้าเจ้าเห็นคนจนในเมืองถูกข่มเหงก็ดี เห็นความยุติธรรมและสิทธิถูกคร่าเอาไปเสียก็ดี เจ้าอย่าหลากใจในเรื่องนั้น ด้วยว่ามีเจ้าหน้าที่คอยจับตาเจ้าหน้าที่อยู่ แล้วยังมีผู้สูงกว่าอีกชั้นหนึ่งจับตาอยู่เหนือพวกเขาทั้งสิ้น’ ในกาลาเทีย 6 : 10 ที่ว่า ‘เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง และเฉพาะอย่างยิ่งต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ’

      ท้ายที่สุดนี้ท่านได้ฝากข้อคิดให้เราไว้ถึงชีวิตที่จะดำเนินกับพระเจ้าในแต่ละวันว่า “คริสเตียนเราสำคัญที่สุด คือวางใจในพระเจ้าเสมอ ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ตัวอย่างโยบ แม่จะเอาโยบ เป็นตัวอย่างในเรื่อง ความอดทน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม่ได้เห็นความรักของพระเจ้าผ่านทางพี่น้องมากมาย ที่อธิษฐานเผื่อเสมอ หนุนใจแม่เป็นกำลังใจที่ดี ขนาดคนเจ็บป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอย่างแม่ พระเจ้าก็ยังรักษาให้หายได้ ขอเพียงเราเชื่อและวางใจในพระองค์ อย่าท้อใจเมื่อรู้สึกทุกข์ใจ ความทุกข์บางครั้งทำให้เรานอนไม่หลับ ให้อ่านพระวจนะของพระเจ้าจะทำให้ดีขึ้น ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนวางใจในพระองค์ พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเราจะอยู่กับเราเสมอในยามยากลำบาก เวลาแม่มีเรื่องไม่สบายใจจะพูดคุยกับพระเจ้า แม่จะตื่นตอนตี 4 ตี 5 เพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าวันละครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงขึ้นอยู่กับ หัวข้อว่ามีมากแค่ไหน ทีเราจะใช้เวลาคุยกับพระเจ้า ขอให้ทุกคนที่ต้องเผชิญปัญหาใกล้ชิดพระเจ้าให้มากขึ้น” มะเร็งนั้นไม่อาจบั่นทอนความรัก ไม่อาจบดขยี้ความหวัง ไม่อาจกัดกร่อนความเชื่อ ไม่อาจแทะกินสันติสุข ไม่อาจทำลายความเชื่อมั่น ไม่อาจสังหารมิตรภาพ ไม่อาจปิดกั้นความทรงจำ ไม่อาจสยบ ความกล้า ไม่อาจรุกล้ำจิตวิญญาณ ไม่อาจลดทอนชีวิตนิรันดร์ ไม่อาจดับพระวิญญาณ ไม่อาจทอนฤทธิ์อำนาจของการเป็นขึ้นมาจากความตายลงได้ หากโรคที่รักษาไม่หายแต่กลับรุกล้ำเข้ามาในชีวิต จงอย่ายอมให้มันเข้ามาแตะต้องจิตวิญญาณของคุณ ร่างกายของคุณอาจต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส และคุณอาจต่อสู้อย่างหนัก แต่หากคุณยังคงวางใจในความรักของพระเจ้า จิตวิญญาณของคุณจะยังคงเข้มแข็งอยู่ได้

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สิทธิในการอธิษฐานต่อพระเจ้า และตัวอย่างคำอธิษฐาน



นอกจาการรับความรอดพ้นจากการถูกพิพากษาให้รับโทษในนรกที่เราควรได้รับแล้ว เรายังได้รับสิทธิ์ในการอธิษฐานในเรื่องราวต่างๆต่อพระเจ้าด้วย เพราะว่าเราได้รับสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้าและเป็นเหมือนประชากรของพระองค์บนแผ่นดินสวรรค์ เมื่อเราอธิษฐานต่อพระเจ้าพระองค์จะทรงฟังคำอธิษฐานของเราทุกคำ พระเยซูทรงสัญญากับเราว่า “ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดา   พระองค์จะประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่านในนามของเรา” พระองค์ได้แนะนำเราในการอธิษฐานด้วยว่า “สิ่งสารพัดซึ่งท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อ   ท่านจะได้”  พระคัมภีร์ได้แนะนำเราในการอธิษฐานว่าสิ่งที่เราอธิษฐานต่อพระเจ้านั้นต้องเป็นสิ่งที่ดีและสอดคล้องกับน้ำพระทัยพระเจ้าที่มีสำหรับเรา เพื่อการอธิษฐานของเรานั้นจะไม่เป็นคำอธิษฐานที่ผิดและไม่ได้รับคำตอบเรื่องราวต่างๆที่เราสามารถอธิษฐานต่อพระเจ้านั้นไม่มีข้อจำกัด เราสามารถอธิษฐานได้ทุกเรื่องเหมือนกับเพื่อนสนิทที่พูดคุยกัน บอกเรื่องราวความในใจระหว่างกัน ขอการช่วยเหลือเมื่อได้รับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ และขอบคุณเมื่อได้รับความช่วยเหลือ อย่างไรก็ดีเพื่อให้มีความเข้าใจมากขึ้นเราสามารถสรุปหัวข้อต่างๆที่คริสต์ชนอธิษฐานต่อพระเจ้าได้ดังนี้
อธิษฐานสรรเสริญพระเจ้า
อธิษฐานสารภาพบาป เพื่อขอรับการอภัย
อธิษฐานขอความช่วยเหลือในความทุกข์ยากลำบากต่างๆ
อธิษฐานเผื่อสามีหรือภรรยา ญาติพี่น้อง เพื่อน และประเทศชาติ ให้ได้รับความสุข
อธิษฐานของการรักษาโรคภัยต่างๆให้หาย
อธิษฐานของการเลี้ยงดู ขอการช่วยเหลือเรื่องสภาวะเศรษฐกิจ และขอการอวยพรจากพระเจ้า
อธิษฐานของการปกป้องและคุ้มครองจากเหตุร้ายต่างๆ
อธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้าที่ตอบคำอธิษฐานต่างๆที่เราขอจากพระองค์
อื่นๆ

รูปแบบของคำอธิษฐาน
รูปแบบคำอธิษฐานของคริสต์ชนโดยทั่วๆไปมีรูปแบบง่ายๆดังนี้  เริ่มต้นคำอธิษฐานด้วยการกล่าวเรียกพระเจ้า ซึ่งคำที่เราสามารถใช้แทนพระเจ้ามีหลายคำได้อาทิเช่น “ข้าแต่พระเจ้า” “ข้าแต่พระบิดาเจ้า”  “ข้าแต่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด” เป็นต้น หลังจากคำเริ่มต้น ให้เราบอกถึงความต้องการต่างๆของเรา หรือข้อความที่เราต้องการบอกต่อพระเจ้า ในตอนนื้เรามักใช้คำแทนต้วเราว่า “ข้าพระองค์” หรือ แทนต้วเราว่า “ลูก” เป็นต้น เมื่อเราได้ขอสิ่งต่างๆ หรือบอกข้อความต่างๆต่อพระเจ้าจบแล้ว ให้เราลงท้ายคำอธิษฐานว่า “ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน” คำว่า “อาเมน” เป็นคำกล่าวด้วยความเชื่อ หมายความว่า ขอให้เป็นไปตามนี้

ตัวอย่างคำอธิษฐานของคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร
“ข้าแต่พระเจ้าผู้เป็นที่รัก ขอบพระคุณพระองค์สำหรับอาหารที่ได้ที่พระองค์ประทานให้แก่ข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงชำระอาหารนี้ให้สะอาดและบริสุทธิ์ และอวยพรให้อาหารนี้เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย ขอบพระคุณพระองค์ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

” ตัวอย่างคำอธิษฐานสารภาพบาป“
ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงสถิตเหนือฟ้าสวรรค์ ข้าพระองค์ถ่อมใจลงต่อพระพักตร์ของพระองค์ สารภาพบาปผิดที่ข้าพระองค์ได้กระทำ ___________________________ ข้าพระเจ้าทรงพระเมตตาอภัยบาปผิด แก่ข้าพระองค์ ตามความรักมั่นคงที่พระองค์มีต่อข้าพระองค์ และของฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ช่วยข้าพระองค์ ประทานกำลังแก่ข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์จะมีกำลังเอาชนะความบาปเหล่านี้ และ ไม่หลงไปกระทำความบาปผิดอีก ทูลต่อพระองค์ด้วยใจที่สำนึกผิด ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน”

ตัวอย่างคำอธิษฐานขอความสำเร็จและเจริญรุ่งเรือง
“ข้าแต่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงเป็นพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่ง   และน่าเกรงกลัว   ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและดำรงความรักมั่นคงกับบรรดาผู้ที่รักพระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ขอทรงฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ ขอทรงโปรดให้เป็นข้าพระองค์เป็นที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ขอประทานความสำเร็จแก่ข้าพระองค์ในวันนี้  ขอพระองค์ทรงอวยพระพรแก่ข้าพระองค์   และขยายเขตแดนของข้าพระองค์   และขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่กับข้าพระองค์   และขอพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้พ้นจากเหตุร้าย   เพื่อมิให้ข้าพระองค์เจ็บใจปวดกาย ข้าพระองค์ทูลพระองค์ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า”

ตัวอย่างคำอธิษฐานขอการเติบโตฝ่ายวิญญาณตามพระคัมภีร์เอเฟซัส
“ข้าแต่พระเจ้าพระบิดา ของข้าพระองค์ๆอธิษฐานว่า  ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา   คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา)   มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา   และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ และขอให้ตาใจของ (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา)   สว่างขึ้น   เพื่อ (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา)   จะได้รู้ว่า   ในการที่พระองค์ทรงเรียก (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา) นั้น   พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา)    และรู้ว่า   มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร และรู้ว่า   ฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร   สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ   ตามอำนาจของพระกำลัง   และฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์   เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย   และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรค์สถาน สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง   เหนือศักดิเทพ   เหนืออิทธิเทพ   เหนือเทพอาณาจักร   และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น

ขอให้พระองค์ทรงโปรดประทานกำลังเรี่ยวแรงมากฝ่ายจิตใจแก่ (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา)   โดยเดชพระวิญญาณของพระองค์ตามความไพบูลย์แห่งพระสิริของพระองค์ เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของ(ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา) ทางความเชื่อ   เพื่อว่าเมื่อ (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา) ได้วางรากลงมั่นคงในความรักแล้ว (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา) ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด   ถึงความกว้าง   ความยาว   ความสูง   ความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้   เพื่อที่จะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม    ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์   กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้   ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร   และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์   อาเมน”

ท่านสามารถดูตัวอย่างคำอธิษฐานอื่นๆเพิ่มเติมได้จาก “บทความเกี่ยวกับคำพยานชีวิต และตัวอย่างคำอธิษฐานสำหรับสถานการณ์ต่างๆในเว็บไซด์นี้"

เคยเป็นร่างทรงมาก่อนต้องทำอย่างไร


บางครั้งในการดำเนินชีวิตของเราก่อนเรารับเชื่อให้องค์พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราอาจจะเกี่ยวข้องกับหรือผูกพันกับวิญญาณต่างๆ หรือเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางไสยศาสตร์มาก่อน โดยทั่วไปเมื่อเราได้รับเชื่อแล้วเราเปรียบเสมือนผู้ที่เกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ในอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ในกฎแห่งพระคุณและความรักของพระองค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมอีกต่อไปรวมทั้งได้รับการปลดปล่อยจากให้เป็นอิสระจากการรบกวนของวิญญาณชั่วต่างๆหรือสิ่งศักดิ์ต่างๆที่เราเคยเคารพบูชา


 แต่บางกรณีเราได้เกี่ยวข้องกับวิญญาณต่างๆหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นอย่างลึกซึ้งเหมือนการทำพันธะสัญญาต่อกัน ถึงแม้เราได้รับเชื่อแล้วก็จริงแต่เนื่องจากในอดีตเราเคยกล่าวคำพูดทำพันธะสัญญากับสิ่งเหล่านั้นเช่นการทำพิธีเพื่อเป็นร่างทรงของวิญญาณต่างๆ หรือได้เชิญวิญญาณต่างๆเข้ามาสิงสถิตในร่างกายของเราเป็นต้น ดังนั้นในบางกรณีวิญญาณเหล่านั้นจึงยังไม่ยอมไปไหนหรือปล่อยให้เราเป็นอิสระจากพวกเขาหลังจากเราได้รับเชื่อแล้ว และยังคงวนเวียนอยู่รอบๆเราหรือคอยรบกวนเราในบางครั้ง

 สิ่งที่ผู้เชื่อใหม่ควรทำในกรณีเหล่านี้คือให้อธิษฐานตัดสัมพันธ์กับวิญญาณต่างๆหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่เราเคยเกี่ยวพันด้วย ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการบอกเลิกสัญญาหรือพันธะที่มีระหว่างกัน สำหรับขั้นตอนการอธิษฐานขอให้ท่านติดต่อกับศิษยาภิบาลหรือผู้นำของคริสตจักรเพื่อขอรายละเอียดในการดำเนินการ
 ตัวอย่างคำอธิษฐานแบบง่ายๆในการประกาศตัดสัมพันธ์ "ข้าแต่พระบิดาเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน ผู้ทรงประทานฤทธานุภาพสูงสุดทั้งในสวรรค์และแผ่นดินโลกให้แก่พระเยซูคริสต์แล้ว โดยฤฺทธิ์เดชของพระโลหิตและพระนามของพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าของประกาศ ตัดสัมพันธ์ทั้งสิ้นกับ (เอ่ยชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องการตัดสัมพันธ์) คำสัญญา คำบนบานต่างๆที่ได้เคยมีในอดีต ขอประกาศให้เป็นโมฆะในพระนามของพระเยซูคริสต์ ต่อไปนี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อกันอีกต่อไป อธิษฐานในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน"


ที่บ้านไหว้เจ้า เรากินอาหารไหว้เจ้าได้หรือไม่


อาหารเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์สำหรับใช้ในการดำรงชีวิต โดยตัวอาหารเองแล้วถ้าเป็นอาหารที่ดีไม่ว่าจะเป็นพืชผักหรือเนื้อสัตว์ เป็นอาหารที่สะอาดและถูกต้องตามโภชนาการแล้ว เมื่อเรารับประทานก็จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกายเราทั้งสิ้น ซึ่งตามปกติโดยตัวอาหารเองจะไม่มีผลกระทำต่อจิตวิญญาณของเราเลย พระเยซูทรงสอนเราว่าสิ่งที่เรารับประทานเข้าไปในร่างกายไม่ทำให้เราบาปหรือเป็นมลทินต่อจิตวิญญาณของเรา แต่ความคิดและคำพูดที่ออกจากปากเรานั่นแหละทำให้เราบาปหรือจิตวิญญาณเราเป็นมลทินไปถ้าเราพูดหรือคิดในสิ่งที่ไม่ดี

หรือเราสามารถมองอีกมุมหนึ่งได้ว่า ถ้าท่าทีภายในใจของเราไม่ถือว่าอาหารที่ไหว้รูปเคารพเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรรับประทาน หรือถ้าที่ภายในในเราไม่ถือว่าอาหารที่ไหว้รูปเคารพไม่เป็นสิ่งสกปรก เราก็รับประทานได้ เพราะพระคัมภีร์สอนเราให้อธิษฐานขอการชำระอาหารและรับประทานอาหารต่างๆโดยพระคุณของพระองค์ที่ประทานอาหารให้เรา เมื่อถือตามนี้แล้วก็สามารถรับประทานโดยประคุณได้

แต่มีข้อคิดอีกอย่างหนึ่งคือว่า ขณะที่เรากำลังรับประทานอาหารนั้นแล้วเกิดมีผู้เชื่อบางคนที่มีความเชื่อน้อยและรู้สึกว่าเราไม่ควรรับประทาน เราก็ไม่ควรรับประทานอาหารนั้น ไม่ใช่เพราะตัวอาหารนั้นเองแต่เพราะว่าความรักที่เรามีต่อพี่น้องของเราที่ไม่อยากให้เขารู้สึกไม่สบายใจ พระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 8:8-9 กล่าวว่า “อาหารไม่เป็นเครื่องที่ทำให้พระเจ้าทรงโปรดปรานเรา   ถ้าเราไม่กิน   เราก็ไม่ขาดอะไร   ถ้าเรากิน   เราก็ไม่ได้อะไรเป็นพิเศษ แต่จงระวังอย่าให้เสรีภาพของท่านนั้น   ทำให้คนที่มีความเชื่อน้อยหลงผิดไป”



ควรทำอย่างไรกับเครื่องรางหรือรูปเคารพ


เป็นคำถามทีผู้เชื่อใหม่มักถามมากที่สุดคำถามหนึ่ง ในกรณีนี้ของแยกคำตอบออกเป็น 2 คำตอบ เพราะมีความแตกต่างกันในทางปฏบัติ

เครื่องรางหรือรูปเคารพที่เราเป็นเจ้าของอยู่
พระคัมภีร์เสวีนิติ 19:4 ได้สอนเราในเรื่องนี้ว่า “อย่าให้ผู้ใดกลับนับถือรูปเคารพ หรือหล่อพระไว้เป็นรูปเคารพสำหรับตน เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า”

และในเฉลยธรรมบัญญัติ 7:25 “ท่านทั้งหลายจงเผารูปแกะสลักอันเป็นรูปพระทั้งหลายของเขาเสียด้วยไฟ   ท่านทั้งหลายอย่าโลภอยากได้เงินหรือทองซึ่งปิดรูปพระอยู่นั้น หรือนำไปเป็นของท่าน เกรงว่าท่านจะหลงสิ่งเหล่านั้น เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของพึงรังเกียจแด่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน”

รูปเคารพคือสิ่งที่เป็นผลงานของมือมนุษย์ทำขึ้น รูปเหล่านั้นไม่มีฤทธิ์เดชหรือความสำคัญผ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง แต่พระเจ้าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และมีฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งศักดิสิทธิ์อื่นๆ พระองค์เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องฤทธิ์เดชของพระเจ้าและการอัศจรรย์ที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้มากมาย ที่สำคัญคือพระองค์ทรงรักเราและพระองค์ทรงหวงแหนเราด้วย พระคัมภีร์อพยพ 20:5 “เราคือพระเจ้าของเจ้า   เป็นพระเจ้าที่หวงแหน” หมายถึงพระเจ้าให้เราพึ่งพาพระองค์ผู้เดียวไม่ต้องการให้เราพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด

คุณอาจเคยไหว้รูปเคารพในอดีตแต่ปัจจุบันคุณได้เชื่อในพระเจ้าแล้วดังนั้นเราไม่ควรปฏิบัติสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป คุณควรนำเครื่องรายและรูปเคารพต่างๆที่มีอยู่ออกไปให้ห่างจากชีวิตของคุณ ซึ่งอาจทำโดยนำไปทิ้งไว้ตามวัดต่างๆหรือตามศาลพระภูมิต่างๆที่ใกล้บ้านของคุณ
การเก็บรูปเคารพของคุณไว้เพราะเสียดายหรือรู้สึกผูกพันกับความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งนั้น อาจจะเป็นช่องทางในฝ่ายวิญญาณ ที่คอยรวบกวนการเติบโตในทางของพระเจ้าของคุณก็ได้ ในหลายกรณีมีผลกระทบทำให้มีผลต่อการฟังเสียงของพระเจ้า หรือมีผลต่อความเข้าใจเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ เนื่องจากเป็นเสมือนมลพิษฝ่ายวิญญาณ
เมื่อเรานำรูปเคารพของเราไปทิ้งไปหรือนำไปไว้ที่อื่น คุณควรอธิษฐานตัดสัมพันธ์กับรูปเคารพนั้นหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วยโดยเฉพาะรูปเคารพที่คุณให้ความนับถือเป็นพิเศษและเคยบูชากราบไห้วอย่างเป็นประจำ คำอธิษฐานมีง่ายๆคือ "ในพระนามของพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าของประกาศตัดสัมพันธ์กับ (พูดชื่อของรูปเคารพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของท่าน) ต่อไปนี้คำบนบานต่างๆและคำสัญญาทั้งสิ้นขอประกาศในเป็นโมฆะ อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน" การอธิษฐานต้องอธิษฐานให้มีเสียงออกจากปากของเรา อย่าอธิษฐานในใจ

เครื่องรางหรือรูปเคารพที่เป็นของทางบ้านของเรา
ในกรณีที่รูปเคารพอาจเป็นของพ่อหรือของแม่ หรือปู่ ยา ตา ยายของคุณ ตราบใดที่พวกเขายังไม่เชื่อพระเจ้า การนำสิ่งเหล่านั้นออกไปโดยพลการ อาจเป็นการสะเทือนใจต่อเจ้าของและอาจเกิดข้อโต้แย้งในเวลาต่อมาได้ ดังนั้นคุณควรจะพึ่งพาพระกรุณาของพระเจ้า ขอการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่เหนือบ้านของคุณ ขอพระโลหิตของพระเยซูชำระทุกสิ่งที่อยู่ในบ้าน ให้ทุกๆอย่างอยู่ไต้อำนาจของพระองค์ และควรอธิษฐานเผื่อครอบครัวเพื่อเขาจะได้พบกับพระเจ้าเช่นเดียวกับเรา
ในหลายกรณ๊ที่ท่านนอนในห้องที่มีรูปเคารพ เช่น ท่านนอนในห้องพระ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช้เรื่องน่าวิติกกังวล และจะไม่ผลอะไรกับท่าน ของเพียงท่านอธิษฐานในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ปกคลุมท่านไว้ รูปเคารพเหล่านั้นก็จะไม่สามารถส่งอิิทธิพลใดๆต่อท่านได้

คริสเตียนไปงานศพที่วัดได้หรือไม่


การไปงานศพเป็นสิ่งที่ควรจะทำเพื่อเป็นการไว้อาลัยถึงผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว การที่เราเป็นคริสเตียนแล้วไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเข้าร่วมพิธีแต่อย่างไร ตามความเชื่อของคริสเตียน ผู้ที่จากโลกนี้ไปแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก (ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด) แต่จะไปอยู่ที่ที่พระเจ้าจัดไว้เพื่อรอการพิพากษาสิ่งที่ได้กระทำในโลกนี้ในช่วงขณะที่มีชีวิตอยู่ การทำบุญหรืออุทิศส่วนกุศลต่างๆให้แก่ผู้ตายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย

เมื่อเราถูกเชิญไปร่วมไว้อาลัยในไม่ว่าจะตามธรรมเนียมพุทธหรือธรรมเนียมจีนก็ดี เราสามารถร่วมคารวะศพหรือไหว้ศพได้ โดยไม่ต้องจุดธูปเทียน เราสามารถแจ้งต่อเจ้าภาพได้ว่าเราเป็นคริสเตียนไม่ใช้ธูปในการไหว้ศพ ขณะในช่วงเวลางานศพถ้าเราช่วยอะไรได้ก็ควรทำเช่น การเสริฟน้ำและอาหาร การต้อนรับแขก ช่วยในการบริการด้านต่างๆในงาน  

สำหรับในเวลาที่พระสวดหรือทำพิธีกรรมต่างๆ เราควรนั่งสงบใจด้วยท่าที่สุภาพ ไม่ควรคุยกันในเวลานั้นเพื่อเป็นการในเกียรติแก่เจ้าภาพ แต่เราควรใช้เวลาในการอธิษฐานเผื่อผู้ที่มาร่วมงานและญาติของผู้เสียชีวิตให้ได้รับการเล้าโลมใจจากพระเจ้าจากการสูญเสียคนที่รักไป ตามปกติไม่ควรใช้เวลานั้นเป็นพยานเรื่องพระเจ้า รอถ้าเรามีโอกาสดีๆค่อยใช้เวลาเป็นพยานให้ญาติหรือคนที่มาร่วมงานฟังก็ได้

พาคุณพ่อและคุณแม่ของเราไปวัดได้หรือไม่


นอกการการเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระคัมภีร์ให้เราเชื่อฟังบิดามารดาของเราด้วย ในโคโลสี 3:20 “ฝ่ายบุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของตนทุกอย่าง เพราะการนี้เป็นที่ชอบพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า”


ถ้าเราได้รับการขอให้ช่วยขับรถพาคุณพ่อและคุณแม่ของเราของเราไปวัด หรือไปเป็นเพื่อนท่าน ก็เป็นเรื่องดีที่เราจะได้ปรนนิบัติท่านสำแดงความรักและความกตัญญูต่อท่านในฐานะที่ท่านได้เป็นคุณพ่อและคุณแม่ของเรา เพราะเป็นสิ่งที่เราควรกระทำในฐานะที่เราเป็นผู้เชื่อที่ดีในองค์พระเยซูคริสต์เพื่อเป็นการถวายเกียรติ์พระเจ้า และเราสามารถหาโอกาสในการทรงนำจากพระเจ้าเพื่อการประกาศเป็นพยานเรื่องพระเยซูในช่วงเวลาระหว่างที่เราเดินทางไปกับท่านได้อีกด้วย

โดยทั่วไปเมื่อเราไปถึงวัดแล้วเราสามารถเข้าร่วมพิธีกรรมตามปกติต่างๆได้ เช่น การทำบุญการแจกทาน  ร่วมรับประทานอาหาร หรือการฟังเทศนา เป็นต้น แต่อาจจะมีพิธีกรรมบางอย่างที่เราไม่สามารถเข้าร่วมได้เช่นการจุดธูปไหว้พระ การไหว้หรือบูชารูปเคารพต่างๆ การรับหรือดื่มน้ำมนต์เป็นต้น ท่านสามารถติดต่อศิษยาภิบาลหรือผู้นำในคริสตจักรเพื่อขอคำปรึกษาในรายละเอียดเพื่อการปฏิบัติตัวได้ถูกต้องและเหมาะสมยิ่งขึ้น

จะบอกเพื่อนๆของเราอย่างไร


นอกจากเราควรบอกเรื่องการรับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ต่อครองครัวของเราแล้ว เราควรบอกต่อเพื่อนๆของเราด้วย เพื่อนของเราเป็นกลุ่มที่เรามักสนิทรองลงมาจากครอบครัวของเรา ให้เราพูดคุยชักชวนเพื่อนหรืออาจจะท้าทายพวกเขาในเรื่องที่เขามีปัญหาเพื่อให้เขามาพึ่งพาพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ช่วยเหลือเขาจากปัญหาเหล่านั้น เราอาจจะเล่าคำพยานต่างๆที่เรามีประสบการณ์โดยตรง หรือคำพยานจากพี่น้องของเราในคริสดจักรในการที่พระเจ้าเข้ามาช่วยในเราพบความสุขและแก้ไขเราออกจากปัญหาต่างๆ ให้เราหาโอกาสในการที่จะนำพวกเขามาคริสตจักร


นอกจากการบอกเรื่องของพระเจ้าให้เขาฟังแล้ว เราควรสำแดงความรักของพระเจ้าให้เขาด้วย โดยถ้าเราทราบว่าเขามีปัญหาเราควรให้ความช่วยเหลือให้กำลังใจ และนำปัญหาของเขามาอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อให้พระเจ้าเป็นผู้ช่วยเหลือเขา ขอให้พระเจ้าสัมผัสเขาด้วยความรักและความยิ่งใหญ่ของพระองค์  และเพื่อให้เขาทราบว่าพระเยซูทรงรักเขาอย่างๆไร

ในบางกรณีอาจจะมีเพื่อนบางคนไม่เขาใจเราหรือเราอาจจะถูกต่อต้านบ้าง ให้เราอดทนต่อพวกเขาเหล่านี้ ในทางกลับกันพระคัมภีร์ให้เราสำแดงความรักของเราแก่เขาและอธิษฐานเผื่อเขาด้วย ทำให้พวกเขาเห็นความอ่อนสุภาพที่เกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิในชีวิตของเรา

เราจะบอกสามีหรือภรรยา และบุตรของเราอย่างไร


เมื่อตัวเรา (ซึ่งอาจจะเป็นสามีหรือภรรยา) ได้รู้จักกับพระเจ้าและได้ตัดสินใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์เราควรบอกให้คนในครอบครัวของเราทราบว่าพระเจ้าทรงช่วยเราอย่างไรบ้าง ซึ่งอาจจะมาจากการช่วยของพระเจ้าจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาทางด้านสุขภาพ ปัญหาทางด้านการงาน หรือปัญหาอื่นใดก็ตามที่พระองค์ได้ทรงประทานทางออกให้กับเรา


ในการบอกต่อคู่ครองของเราส่วนใหญ่สำหรับสามีมักจะไม่มีปัญหาความไม่เข้าใจจากภรรยานัก ในทางกลับกันถ้าภรรยาได้รับเชื่อก่อนในบางกรณีการที่จะบอกต่อสามีอาจจะมีปัญหาในความไม่เข้าใจจากสามีบ้าง สำหรับในกรณีที่คู่ครองของเราไม่เข้าใจเหตุที่เรารับเชื่อพระเยซูคริสต์อาจจะสร้างความกดดันให้แก่จิตใจของเราบ้างในช่วงแรก ขอให้เราอดทน อธิษฐานกับพระเจ้าทุกวันเผื่อครองครัวของเรา พระเจ้าจะให้สติปัญญากับเราในการพูดทำความเข้าใจ และในขณะเดียวกันเราความหาเวลาให้กับครอบครัวของเราเหมือนเดิมหรือมากขึ้น ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ในครอบครัว สร้างความสัมพันธ์ที่ดีโดยให้ความรักของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าไหลผ่านชีวิตของเราสู่พวกเขาเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้เขาเห็นในการที่พระเจ้าเปลี่ยนแปลงเราซึ่งเป็นการเปลี่ยนมาจากภายในของเรา

การปฏิบัติตัวที่สม่ำเสมอทุกวันในความเชื่อของเราในการอธิษฐานเผื่อทุกคนในครอบครัว และการอ่านพระคัมภีร์จะช่วยให้เราเข็มแข็งและมีกำลังใจขึ้น เราควรหาโอกาสในวันสำคัญต่างๆที่จะชวนคนในครอบครัวของเรามาคริสตจักรเช่น วันแม่หรือวันพ่อแห่งชาติ วันคริสตมาส และวันอีสเธอร์เป็นต้น

ขอให้เรายึดหมั่นเรื่องหนึ่งไม่คือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ปรารถนาที่จะให้เราต้องแยกจากครองครัวของเรา แยกจากสามีหรือภรรยาของเรา เพราะพระคัมภีร์ได้สอนเราว่าพระองค์ได้ผูกพันทั้งสองไว้แล้วและไม่ปรารถนาที่จะให้ทั้งสองพรากจากกัน  ถ้าเรามีปัญหาความไม่เข้าใจในครอบครัวของเราให้เราอดทน อธิษฐานและรอคอยพระเจ้าด้วยความเชื่อและความถ่อมใจ พระเจ้าจะเป็นผู้แก้ไขปัญหาต่างๆให้แก่เราเอง ขอย้ำอีกครั้งว่าการเปลี่ยนแปลงของเราจากภายในจะเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้พวกเขาเห็นพระเจ้าในชีวิตเราและนำพวกเขาเหล่านั่นมาสู่ความรอดในองค์พระเยซูคริสต์

เราจะบอกญาติผู้ใหญ่อย่างไรเมื่อเราได้รับเชื่อพระเยซูแล้ว


โดยปกติเราเคยอยู่ภายใต้การปกครอง และถูกปลูกฝังความคิดภายใต้ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ให้มีความเคารพและเชื่อฟังญาติผู้ใหญ่และพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ในทุกๆเรื่อง  แต่เมื่อเราได้มาพบกับพระเยซูคริสต์แล้วการที่เราจะบอกเรื่องนี้ต่อญาติผู้ใหญ่ของเราสำหรับบางคนไม่ใช่เรื่องง่าย  เพราะอาจมีผู้ใหญ่บางคนขาดความรู้และความเข้าใจในเรื่องพระเจ้าอย่างถูกต้อง

วิธีต่างๆเหล่านี้เป็นแนวทางที่ช่วยให้สามารถบอกแก่ญาติผู้ใหญ่และผู้อาวุโสในครอบครัวของเรา
º   เราสามารถบอกท่านด้วยท่าทีหรือความประพฤติของเราที่พระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงเราใหม่ไปในทางที่ดีขึ้น เราควรเคารพท่านและรักห่วงใยท่านเหมือนเดิมและยิ่งกว่าเดิมอีก และอยากให้ท่านได้รับความรอดเหมือนกับเรา เมื่อท่านเห็นการเปลี่ยนแปลงจะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้ท่านเข้าใจถึงเหตุผลของเราในการรับเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
º   ให้ญาติผู้ใหญ่ของเราสัมผัสถึงความรักของพระเจ้าผ่านชีวิตของเราโดยการที่พระองค์ทรงเข้ามาเปลี่ยนแปลงตัวเรา เราทุกคนไม่ใช่คนที่เป็นคนดีพร้อมเต็มร้อย แต่พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนเราให้ดีขึ้นกว่าเดิม เช่นเราเคยเป็นคนที่แข็งกระด้าง เมื่อเรารับการเปลี่ยนแปลงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เราจะเป็นคนที่สุภาพ อ่อนน้อม เชื่อฟัง และมีความรักต่อผู้อื่นมากขึ้น

º   อธิบายให้ท่านเข้าใจในความจริงในพระคำของพระเจ้าและความรักของพระเจ้าที่มีให้กับบุตรของพระองค์ทุกๆคน ความรอดที่เราได้รับ และเป็นพยานในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า การช่วยเหลือของพระเจ้าในด้านต่างๆที่มาถึงเราในทุกครั้งที่มีโอกาส
º    ให้ความห่วงใยในยามที่ท่านมีปัญหาหรือเจ็บป่วย และให้เรากล้าที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าถึงปัญหาต่างๆของท่านหรือเผื่ออาการเจ็บป่วยของท่าน เพื่อขอให้พระเจ้าสำแดงพระคุณของพระองค์ในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นหรือผ่านการรักษาอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น

การสร้างสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า


สิ่งที่เราควรทำหลังรับเชื่อแล้ว

สิ่งที่ควรทำเมื่อตัดสินใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดคือ การแสวงหาการครอบครองหรือสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์ โดยผ่านการอธิษฐาน การขอบพระคุณ การอ่านพระคัมภีร์และการนมัสการ หรือที่รู้จักกันว่าเป็นการเฝ้าเดี่ยว


นอกจากนั้นเราควรมีการใช้เวลาร่วมกันกับพี่น้องคริสเตียน ในส่วนที่เราร่วมอยู่ เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน และเรียนรู้จักพระเจ้าผ่านกันและกันมากขึ้น



สิ่งที่เราไม่ควรทำหลังรับเชื่อแล้ว
สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อตัดสินใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดคือ การประพฤติต่างๆที่นำให้เราออกห่างจากน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือกฎเกณฑ์ของพระองค์ โดยการกระทำความบาปต่างๆ (สิ่งที่ขัดต่อพระคัมภีร์) คิดในสิ่งที่ไม่ดี พูดในสิ่งที่ไม่ดี อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการปลีกตัวอยู่คนเดียว การที่เราปลีกตัวอยู่คนเดียวมักทำให้ความเชื่อของเราลดลงและอ่อนกำลังด้านจิตวิญญาณ

การสร้างสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า

คุณเคยมีเพื่อนสนิทขนาดนี้บางไหม? รักคุณแบบซึ่งคุณเป็น ไม่ว่าคุณจะรวยหรือจน เขาจะอยู่กับคุณเสมอไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ระบายปัญหาหนักอกหนักใจกับเขาได้ทุกเรื่อง บางครั้งเขาเป็นเพื่อน/แม่/ที่ปรึกษาก็ได้  เก็บความลับของคุณได้ทุกเรื่อง ซื่อสัตย์ต่อคำสัญญาเสมอ สละชีวิตเพื่อคุณได้ คุณเป็นคนพิเศษสำหรับเขาเสมอ เพื่อนคนนี้ชื่อ พระเยซู

แล้วเราต้องใช้เวลานานเท่าไรที่จะมีเพื่อนสนิทกับเขาสักคน คุณต้องใช้เวลาศึกษากันนานแค่ไหน กว่าคุณจะแน่ใจว่าเขาคือเพื่อนสนิทของคุณ หากความสัมพันธ์ของคนเรายังต้องใช้เวลา ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเยซูก็เช่นกัน ต้องใช้เวลาเรียนรู้จักพระองค์มากขึ้นทุกๆวัน วิธีต่อไปนี้เป็นแนวทางที่จะช่วยให้คุณได้รู้จักเพื่อนคนนี้และสนิทกับเขามากยิ่งขึ้น

1.       การมาคริสตจักร
การมาคริสตจักร/โบสถ์ ไม่ใช่กฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับ แต่เป็นการนัดพบที่จะทำให้คุณได้รู้จักกับพระเยซูมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการได้มีโอกาสแสดงความรักของคุณต่อพระองค์ โดยการนมัสการสรรเสริญพระองค์ในพระนิเวศของพระองค์ และฟังคำเทศนาสั่งสอนจากอาจารย์ศิษยาภิบาล ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใจพระคำของพระเจ้า อีกทั้งจะได้พบกับพี่น้องคริสเตียนคนอื่น ซึ่งสามารถให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ ช่วยเหลือ เมื่อคุณมีปัญหา/ข้อสงสัย คุณจะได้สัมผัสถึงการทรงสถิตอยู่ของพระองค์ในชีวิตของพี่น้องคริสเตียนอื่นๆ จะทำให้คุณมีความเชื่อและเติบโตทางด้านจิตวิญญาณมากยิ่งขึ้น

2.       การเข้ากลุ่มพัฒนาชีวิต (กลุ่มกพช.)
ถึงแม้การไปร่วมนมัสการที่คริสตจักรช่วยให้คุณได้รับการพัฒนาความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ระดับหนึ่งแล้วก็ดี แต่การเข้าร่วมประชุมกลุ่มพัฒนาชีวิต หรือ กลุ่มกพช. หรือโดยทั่วไปเรียกว่ากลุ่มเซล (Cell) เป็นช่องทางสำคัญอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยผู้เชื่อทุกคนในการพัฒนาความสัมพันธ์กับพระเจ้าและความสัมพันธ์กับพี่น้องคริสเตียนได้ดียิ่งขึ้น

กลุ่มกพช. เป็นการร่วมกลุ่มขนาด 4-12 คนระหว่างสัปดาห์ ร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การศึกษาพระคัมภีร์ร่วมกัน การอธิษฐานและนมัสการพระเจ้า การประกาศและเป็นพยานในความดีที่พระเจ้าทำเพื่อเรา เป็นต้น เนื่องจากกลุ่มกพช.เป็นกลุ่มขนาดเล็กทำให้สมาชิกที่อยู่ในกลุ่มสามารถช่วยให้คำปรึกษาและแนะนำผู้เชื่อใหม่ได้เป็นอย่างใกล้ชิดกว่า รวมทั้งภายในกลุ่มสามารถช่วยอธิษฐานเผื่อปัญหาต่างๆระหว่างกันได้ดีกว่าเช่นกัน การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้องคริสเตียนภายในกลุ่มจะช่วยให้คุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้ามากขึ้นด้วย

3.       อธิษฐานส่วนตัว
การอธิษฐานเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่คุณสามารถพูดคุยกับพระองค์  ให้ทุกวันของคุณได้มีโอกาสใช้เวลาสงบต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ในสถานทีที่เป็นการส่วนตัวกับพระองค์เป็นประจำสัก 10-15 นาที ในตอนเช้าหรือก่อนเข้านอน ที่จะพูดคุณกับพระองค์ สำหรับการอธิษฐานนั้นไม่มีรูปแบบตายตัวว่าต้องอยู่ในท่านั้นหรือท่านี้ตลอด อีกทั้งในระหว่างการดำเนินชีวิตในแต่ละวันคุณก็สามารถอธิษฐานต่อพระองค์ได้ทุกสถานที่และทุกเวลาที่คุณระลึกถึงพระองค์ หรือต้องการกำลังใจ หรือการช่วยเหลือ คุณไม่จำเป็นจะต้องใช้ศัพท์สูงๆ หรืออธิษฐานยืดยาว พระองค์ไม่เคยสนพระทัยว่าคุณอธิษฐานได้ไพเราะขนาดไหน แต่สนใจที่หัวใจของคุณต่างๆหาก ดังนั้นคุณจึงพูดคุยกับพระองค์ได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กประติ้วหรือหนักหนาสาหัสแค่ไหน พระองค์มีเวลาให้คุณเสมอ

4.       การนมัสการ
คุณสามารถร้องเพลงนมัสการพระเจ้าเวลาใดก็ได้ที่คุณระลึกถึงพระองค์ หรือก่อนการอ่านพระคัมภีร์ หรือก่อนการอธิษฐาน  เนื้อหาของเพลงนมัสการพระเจ้าโดยทั่วไปเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการสรรเสริญความดีงาม ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า หรือระบายความในใจของเราในการอยากใกล้ชิดพระเจ้า ระบายความทุกข์ร้อนที่ต้องการในพระองค์ช่วยกู้ และการขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงช่วยเหลือเราเป็นต้น

โดยทั่วไปการนมัสการจะควบคู่ไปกับการอธิษฐานเสมอ คุณสามารถนมัสการ (ร้องเพลง) สลับไปกับการอธิษฐานต่อพระเจ้า พระคัมภีร์สอนเราว่า พระเจ้าสถิตอยู่เหนือการนมัสการพระองค์  เมื่อนมัสการพระเจ้าคุณจะสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าในเวลานั้น เนื้อเพลงนมัสการพระเจ้าจะช่วยในจิตใจของคุณได้ใกล้ชิดพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้น และในหลายกรณีการนมัสการพระเจ้าช่วยให้ความเชื่อของเราเพิ่มขึ้นด้วย


คุณควรหาเวลาส่วนตัวในการนมัสการพระเจ้าทุกวันอย่างสม่ำเสมอ อาจจะวันละหลายๆครั้งก็ได้ และการร้องเพลงนมัสการพระเจ้าไม่จำเป็นต้องออกเสียงเสมอไป ดังนั้นคุณสามารถร้องเพลงนมัสการพระเจ้าในใจเมื่อใดก็ได้เช่นกัน

5.       อ่านพระคัมภีร์

พระคัมภีร์คือถ้อยคำพระเจ้ามาถึงคุณ แม้ขณะที่คุณจะมองไม่เห็นพระองค์ แต่พระองค์ก็ได้ให้พระคำของพระองค์มายังคุณเพื่อคุณจะรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้น พระเจ้าจะทรงตรัสกับคุณได้ทุกวันโดยผ่านพระคัมภีร์  พระองค์ทรงเปิดเผยถึงความรัก พระลักษณะของพระองค์ ตลอดจนพระประสงค์ของพระองค์ผ่านพระคัมภีร์ ขอให้คุณอ่าน ศึกษา ใคร่ครวญพระคำของพระเจ้าทุกวัน (ซึ่งคุณจะศึกษาพระคัมภีร์โดยใช้คู่มือเฝ้าเดี่ยวก็ได้) ว่าพระคำตอนนั้นพระองค์ทรงต้องการบอกอะไร พระองค์รู้สึกอย่างไร ในขณะที่คุณกำลังอ่านพระคัมภีร์ให้คุณอธิษฐานขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้สติปัญญาและความเข้าใจกับคุณ เพื่อให้คุณสามารถนำสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ แต่หากคุณมีข้อสงสัยในข้อพระคำที่คุณอ่าน ขอให้ปรึกษากับศิษยาภิบาลของคริสตจักร หรือพี่เลี้ยงของคุณที่ทางคริสตจักรได้จัดให้จะช่วยให้คุณมีความเข้าใจพระคำของพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้น
ถ้าคุณสนใจในการอ่านพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอและนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อฟังแล้ว ในไม่ช้าคุณจะสนิทสนมกับเพื่อนสนิทของคุณคนนี้มากขึ้น คุณจะทราบได้ว่าพระองค์ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และคุณควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อเป็นที่ชอบพระทัยพระองค์  

ความสำคัญของความรอดที่ได้รับ



ก่อนอื่นอยากทำความเข้าใจก่อนว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปและทุกคนได้ทำความผิดบาปไม่มากก็น้อย แม้เพียงเรามีความคิดที่ไม่ดีหรือมีความคิดที่ชั่วร้ายก็เท่ากับเราได้กระทำความบาปแล้ว ซึ่งความบาปเหล่านั้นจะนำเราไปสู่การลงโทษเมื่อเราได้จากโลกนี้ไป และเรายังได้รับผลของความบาปเมื่อเราดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ด้วย ตัวอย่างเช่นเมื่อเราลักทรัพย์เราจะถูกตำรวจจับและถูกพิพากษาให้ถูกจำคุก นี่คือการรับผลของความผิดในโลกนี้ เมื่อเราตายไปเราก็จะถูกพิพากษาอีกด้วยให้เราได้รับโทษในนรกเช่นกัน ความผิดบาปแม้เพียงเล็กน้อยของเราก็สามารถทำให้เราไม่สามารถเข้าไปสู่สวรรค์ได้ เพราะสวรรค์นั้นเป็นสถานที่ที่บริสุทธิ์ ไม่ว่าเราจะพยายามอย่างไรเราก็ไม่สามารถเป็นผู้บริสุทธิ์ได้เนื่องจากการกระทำของเราเอง

เพราะว่าพระเจ้าทรงรักเราไม่ต้องการให้เราได้รับการพิพากษารับโทษในนรก  และต้องติดอยู่ที่นั้นไปตลอดนิรันดร์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงหาทางช่วยเราโดยให้พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดมาไถ่บาปให้เรา พระบิดาเจ้าได้ให้พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และพระองค์ได้ถูกเฆี่ยนตีถูกทรมานให้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อรับโทษความผิดบาปของเราทั้งหมดทั้งสิ้น แต่เราต้องรับเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตของเราก่อน โดยการยอมสารภาพบาปต่อพระองค์ ขอการรับการอภัยโทษและยอมที่จะดำเนินชีวิตในวิถีทางของพระเจ้าเมื่อได้รับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์แล้วความบาปผิดของเราทั้งสิ้นจะได้รับการอภัย และเราได้รับการชำระให้เป็นผู้บริสุทธิ์โดยฤทธิ์เดชของพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เรายังได้รับสิทธิพิเศษในเป็นบุตรของพระเจ้าเช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสต์ได้รับด้วย และเมื่อเราจากโลกนี้ไปเราจะไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์เป็นนิจนิรันดร์ ไม่ต้องถูกพิพากษาให้รับโทษตามความผิดตามบาปที่เราได้กระทำไว้ในอดีตเพราะบาปของเราได้รับการไถ่แล้ว
ในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่โลกนี้พระเจ้าก็ทรงโปรดประทานให้เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ามาอยู่ในใจของเราด้วย เช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสต์ได้รับเมื่อครั้งพระองค์ดำรงค์ชีวิตอยู่ในโลก   พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะช่วยให้เราได้รับสันติสุขหรือได้รับความปลาบปลื้มในจิตใจซึ่งเราจะสัมผัสได้ว่าไม่เหมือนกับความสุขหรือความปลาบปลื้มใจอื่นใดที่เราเคยได้มีประสบการณ์มาก่อนในอดีต   นอกจากนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังช่วยให้ความรักจากพระเจ้าแก่เรา และช่วยให้เราสร้างความสนิทสนมกับพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้นเสมือนกับว่าพระเจ้าเดินอยู่เคียงข้างกับเราช่วยเรามีกำลังในการดำเนินชีวิต พระวิญญาณริสุทธิเป็นเสมือนที่ปรึกษาช่วยบอกหรือนำเราในเรื่องต่างๆในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและชอบธรรม