ก. ศาสนายิว - ยูดาย (Judaism)
มีหลักศรัทธาความเชื่อดังนี้
1. พระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากพระองค์
ทรงเป็นผู้สร้างโลกมนุษย์และสรรพสิ่งในเอกภพ เป็นองค์แห่งความดี ยุติธรรม ความรักและปัญญา ทรงบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ ทรงควบคุมเอกภพให้ดำเนินไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
2. กฎหมายของพระเจ้า คือ
กฎหมายสูงสุดที่แท้จริงแสดงให้ปรากฏในพระคัมภีร์และทัสมุดทุกประการ ว่าด้วยการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และชีวิตประจำวัน ไม่มีใครจะปฏิเสธกฎหมายสูงสุดนี้ได้
3. พระเจ้าทรงเลือกสรรชนชาติอิสราเอลให้เป็นผู้แทนพระองค์ เพื่อจะนำมนุษยชาติไปหาพระองค์ ชาวอิสราเอลทุกคนจึงมีหน้าที่เป็นพระต้องดำรงชีวิตให้อยู่ในความชอบธรรมและบริสุทธิ์ทุกประการ
4. เอกภาพทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นพระประสงค์ และนโยบายของพระเจ้าในการลงโทษและให้รางวัลแก่มนุษย์ว่าแต่ละครั้งพัฒนาไปสู่สภาวะที่ดีขึ้นเพื่อไปสู่อาณาจักรของพระเจ้า
5. ศาสดาพยากรณ์ เป็นผู้แทนที่แท้จริงของเทพเจ้าคำทำนายของศาสดาพยากรณ์ศักดิ์สิทธิ์
เป็นการแสดงพระประสงค์ของพระเจ้าที่ตักเตือนสั่งสอนมนุษย์ให้รู้สึกผิดและให้โอกาสกลับตัวใหม่
6. เมื่อมนุษย์ตาย พระเจ้าจะตัดสินพิพากษาด้วยความยุติธรรม จะลงโทษคนบาปประทานพรแก่คนดี ชำระบาปให้บริสุทธิ์ในโลกใหม่
7. พระเจ้าจะเสด็จมาพิพากษาโลกในวันสิ้นโลก จะทำลายล้างคนชั่วให้หมดไป แล้วตั้งอาณาจักรอันบริสุทธิ์ในโลกใหม่
8. พระเมสสิอาห์ (Massiah) คือพระบุตรของพระเจ้า บางทีเรียกบุตรมนุษย์จะเสด็จมาปราบศัตรูของพระเจ้าและช่วยผู้ที่ชื่อสัตย์ต่อพระองค์ให้พ้นจากทุกข์ทรมาน จะทรงปกครองโลกด้วยสันติภาพและความรัก ฉะนั้นให้มนุษย์เตรียมตัวไว้รับพระองค์ด้วยการดำรงค์ชีวิตให้บริสุทธิ์
9. การถือปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม ซึ่งระบุไว้บนพระคัมภีร์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยควบคุมชีวิตมนุษย์ให้อยู่ในความบริสุทธิ์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
10. ชาวยิวต้องดำรงชีวิตในความบริสุทธิ์ ตามหลักปฏิบัติว่าด้วยสิทธิ 6 ประการ
หลักศรัทธาความเชื่อศาสนายิว - ยูดาย (Judaism)
เนื่องจากคติความเชื่อถือ
"ความหวังผู้มาโปรด" ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากคำสอนศาสนาไซโรอัสเตอร์ ทำให้ชาวยิวมั่นใจในคติปรโลกเกี่ยวกับดวงวิญญาณที่มาพัวพันอยู่กับเรื่องของมนุษย์และเรื่องของชีวิตที่ตายแล้วจะร้องกลับฟื้นคืนชีพมาเกิดใหม่ในภพใหม่อีก และบาปอันบุคคลหนึ่งทำแล้วย่อมต้องมีผลต่อสังคมต้องรับผลร่วมกัน เรียกว่า บาปกำเนิด ดังนั้นศาสดาพยากรณ์จึงมีความสำคัญมากที่จะเป็นผู้คอยกำหนดชะตากรรมของสังาคมต้องมีพระผู้ไถ่บาป "Messiah"
การทำบาปเป็นสิ่งที่ชำระได้ด้วยการออกนามพระเจ้าโดยวิธีอ้อนวอน
ขอให้ทรงช่วย
ความสุขจะเกิดขึ้นได้แก่การสารภาพบาป เพราะยิวเชื่อว่าผู้ปฏิเสธความผิด
ผู้นั้นจะได้รับโทษหรือความผิดถึง 2 เท่า ดังนั้น ยิวจึงถือหลักปฏิบัติว่า กลัวพระเจ้า
การรักษาบัญญัติของพระองค์เป็นหน้าที่ของมนุษย์เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงนำคำพิพากษามาให้แก่มนุษย์ในส่วนดี และส่วนที่ชั่วคือทั้งทุกข์ทั้งสุข ชีวิตนี้มีเพียงครั้งเดียวความจงรักภักดีและบูชาในพระยะโฮวา และการปฏิบัติตามเทวโองการผ่านโมเสส จุดหมายคือการได้อยู่ร่วมกับพระเจ้าในสวรรค์
ข. ศาสนาคริสต์ หลักศรัทธาความเชื่อศาสนาคริสตร์
ได้ดังนี้
1.
เป็นศาสนาที่สืบทอดประวัติศาสตร์และประเพณีมาจากศาสนายูดาย ยอมรับคัมภีร์ของยูดายที่ว่า พระเมสสิอาห์หรือพระผู้มาโปรดและรวบรวมคัมภีร์ใหม่ขึ้น ประกาศว่า พระเยซูคือพระเมสสิอาห์ ที่พวดยิวรอคอยอยู่นั้นเอง จึงทำให้เกิดการแตกแยกกันคือยิวส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้ ปฏิเสธพระเยซูว่ามิใช่พระผู้มาโปรดอย่างสิ้นเชิง ทำให้ผู้ไม่ยอมรับยังคงเป็นคริสต์ศาสนิกชนต่อไป ส่วนผู้ยอมรับก็กลายเป็นศาสนิกชนคริสต์ไปแต่ก็ยังปฏิบัติตามพิธีกรรมและประเพณีศาสนารวมทั้งข้อเชื่ออื่น
ๆ อย่างเดียวกัน เพราะมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน
2.
เพราะเชื่อว่า พระเยซูคือพระผู้มาโปรดองค์จริง
ชาวคริสต์จึงสืบทอดประวัติศาสตร์ของศาสนาเดิมต่อไป โดยถือว่า พระเยซูคือประกาศหรือผู้ประกาศข่าวดีไว้ให้เท่านั้น
และประกาศว่า พระเยซูคือมนุษย์ที่เป็นบุตรของพระเจ้า เมื่อพระเยซูสิ้นชีพแล้ว สาวกได้พากันออกประกาศคำสอนและจริยาวัตรของพระเยซูว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้าด้วย
3. ศาสนาคริสต์ยอมรับคัมภีร์พันธสัญญาเดิมอยู่ก่อนแล้ว เมื่อพระเยซูสิ้นชีพแล้ว จึงได้รวบรวมคำสอนกิจกรรมและเหตุการณ์ของเหล่าสาวกที่ได้นิพนธ์เอาไว้ รวมกันขึ้นเป็นคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ระหว่าง
ปี ค.ศ. 51-100 จากนั้นศาสนาคริสต์ก็พัฒนามาตามลำดับเป็นการปิดประเด็นประวัติศาสตร์แห่งการรอคอยของศาสนายูดายลง
ค.
ศาสนาอิสลามหลักศรัทธาความเชื่อ มีดังนี้
1. เป็นศาสนาแห่งการมอบตนต่ออัลเลาะห์ด้วยศรัทธา เพื่อความสันติสุข ต้องปฏิบัติตาม
กฎเกณฑ์ที่รวบรวมขึ้นไว้ในคัมภีร์อัลกุลอานอย่างเคร่งครัด ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย โดยมีความเชื่อเป็นสำคัญดังข้อความว่า
"โอ้ มูฮำมัด จงกล่าวกับพวกไม่ยอม
เชื่อเถิดว่า
พวกเจ้าทั้งหลายจะถูกพิชิต และพวกเจ้าจะถูกไล่ต้อนสู่นรกยะฮันนัม อันเป็นที่พักที่เลวยิ่ง"
ดังนี้
2. อิสลามถือว่าในการปฏิบัติศาสนาให้ถือเอาเทวโองการ วจนะ จริยาวัตรของศาสดามุฮำ
มัด เป็นเกณฑ์ตัดสินแต่เมื่อมีปัญหาให้ถือเอาคำชี้ขาดของผู้มีอำนาจในศาสนาเป็นหลัก
3. ศาสนาอิสลามตั้งอยู่บนเทวโองการที่ประทานแก่ศาสดามุฮัมมัด ผ่านศาสนทูต เปิดเผย
ครั้งแรกในวันที่ 27
เดือนรอมฏอน ค.ศ. 610 ในถ้ำ ฮิรอบนภูเขานูร์ เมื่อที่ศาสดามูฮัมมัดมีอายุ 40
ปี ขณะนั่งสงบจิตอยู่ในถ้ำ
4. เทวโองการที่ศาสดามูฮำมัดได้รับมานั้น เนื่องจากท่านไม่รู้หนังสือจึงบอกพระวจนะ
เหล่านั้นแก่ผู้ใกล้ชิดบันทึกไว้ครั้งต่อครั้งมีการทรงจำทบทวนสืบต่อกันมา รอบรวมจารึกไว้เป็นคัมภีร์เมื่อท่านศาสดามุฮำมัดสิ้นชีพแล้ว ได้6 เดือน
5. กฎหมายและระเบียบการดำเนินชีวิตของมุสลิม นำไปสู่การสำนึกว่ามีพระเจ้าแต่พระ
องค์เดียวคือ อัลเลาะห์ ทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่ง และทรงกำหนดระเบียบให้สรรสิ่ง ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ให้มนุษย์ปฏิบัติตามขั้นตอน ลำดับในประวัติศาสตร์ แต่ทรงประทานกฎระเบียบต่าง ๆ ที่สมบูรณ์ที่สุดให้กับศาสนทูตสุดท้ายคือมุฮำมัด ผู้เชื่อฟังบัญชาของพระองค์ จะได้ไปสวรรค์นิรันดร ผู้ขัดขืนจะได้รับโทษตกนรกนิรันดร
6. อิสลามถือว่าทุกคนเกิดมาโดยความปรานีของพระเจ้า ไม่มีบาปติดตัวมาแต่กำเนิดทุกคน
เสมอกัน มีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าใกล้พระเจ้า ไม่มี ไม่มีนักพรตทุกคนเป็นมุสลิมเหมือนกันและเมือถึงแก่กรรมแล้วจะได้ไปเกิดอีกครั้งในวันตัดสินบุญ บาป ต่อหน้าพระเจ้า
7. อิสลามถือว่า ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ในการไถ่บาปมนุษย์ สิทธิในการไถ่บาปเป็นของอัลเลาะห์
แต่พระองค์เดียว ทุกคนต้องวิงวอนของอภัยด้วยตนเอง
และอิสลามเป็นคำสอนสุดท้ายที่พระเจ้าทรงประทานมาให้แก่มนุษย์
สรุปเปรียบเทียบความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า ศาสนายิว - ศาสนาคริสต์
-ศาสนาอิสลาม