คลังบทความภาษาไทย

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ความเป็นมาของคืนอัศจรรย์


อาจารย์ เฮนรี่ มาดาวา ศิษยาภิบาลอาวุโสของคริสตจักรวิคทอรี่ ประเทศยูเครน เป็นผู้ที่มีหัวใจกับการนำวิญญาณ และปรารถนาจะเห็นการเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่ คริสตจักรวิคทอรี่จึงได้บุกเบิกและก่อตั้งคริสตจักรกว่า 100 แห่ง รวมทั้งจัดการประกาศใหญ่ร่วมกับคริสตจักรท้องถิ่นในประเทศต่าง ๆ ในแถบประเทศที่มีผู้เชื่อและจำนวนคริสตจักรเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะในโลกของมุสลิม ทั้งในอัฟริกา ยุโรป เอเชียและอเมริกาใต้ ในการจัดประกาศทุก ๆ ครั้ง พระเจ้าทรงเคลื่อนไหวผ่านหมายสำคัญ การอัศจรรย์อย่างมากมาย ผู้คนได้สัมผัสกับฤทธิ์เดชของพระเจ้า หายโรค รับการปลดปล่อยจากวิญญาณชั่วและรับความรอดเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ท่านยังได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรในการฟื้นฟูใหญ่ และการอบรมศิษยาภิบาล ผู้นำ ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอีกด้วย
ประเทศไทยเป็นประเทศพิเศษมากสำหรับ อ. เฮนรี่ เนื่องจากตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการรับใช้พระเจ้า ท่านได้รับนิมิตจากพระเจ้าซึ่งสำแดงกับท่านอย่างชัดเจนในนิมิตนั้น ท่านเห็นลูกไฟขนาดใหญ่มากลงมาจากฟ้าสวรรค์เหนือประเทศหนึ่ง ท่านถามพระเจ้าว่า นี่คืออะไร พระเจ้าตอบกับท่านว่า นี่คือไฟแห่งการฟื้นฟูที่เราจะเทลงมา อาจารย์ถามพระเจ้าว่า ไฟแห่งการฟื้นฟูนี้คือที่ใด พระเจ้าตอบท่านว่า ประเทศไทย ท่านขอพระเจ้าส่งท่านไปประเทศไทยเพื่อมีส่วนกับการฟื้นฟูของพระองค์ พระเจ้าบอกกับท่านว่าพระองค์จะใช้ท่านให้มีส่วนในการนี้ด้วย ในเวลานั้น อาจารย์เฮนรี่ยังไม่รู้จักประเทศไทยและไม่รู้จักคนไทยเลย ท่านจึงรีบไปเปิดแผนที่เพื่อค้นดูว่าประเทศไทยอยู่ที่ไหน ต่อมาพระเจ้าได้ทรงนำท่านอย่างอัศจรรย์ ซึ่งในที่สุดท่านได้รับการติดต่อจากคริสตจักรใจสมานให้มาเป็นวิทยากรในค่ายผู้นำของคริสตจักร 2 ครั้ง ในช่วงดังกล่าวท่านได้แบ่งปันนิมิตเรื่องประเทศไทยที่ท่านได้รับจากพระเจ้ากับคริสตจักรในประเทศต่าง ๆ เพื่อจะได้แสวงหาพระเจ้าร่วมด้วยกัน อ. เฮนรี่ เลือกที่จะเริ่มงานการประกาศในแถบภาคอิสานก่อน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น แต่มีคริสเตียนและคริสตจักรจำนวนน้อย ในปี 2007 พระเจ้าได้นำท่านเริ่มมาทำการเสริมสร้างศิษยาภิบาล ผู้นำ และสมาชิกคริสตจักรต่าง ๆ ในจังหวัดบุรีรัมย์ และเตรียมการร่วมกันสำหรับการจัดประกาศใหญ่ครั้งแรก โดยใช้ชื่อว่า "คืนอัศจรรย์" หลังจากนั้นก็มีการจัดประกาศใหญ่ในปีต่อ ๆ มาอีก จนถึงปัจจุบันตามลำดับดังนี้

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

จงก้าวตามเรามาที่ละก้าว

วันต่อวันกับพระเยซู ( 1 กุมภาพันธ์ )
"จงก้าวตามเรามาที่ละก้าว " เราขอจากเจ้าเพียงเท่านี้..เพราะนี่เป็นทางเดี่ยวเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถเดินข้ามผ่านโลกอันว่างเปล่านี้ได้เจ้าอาจเห็นขุนเขาที่ทอดยาวอยู่ข้างหน้าเจ้า แล้วเจ้าก็เริ่มสงสัยว่าจะข้ามผ่านความสูงของมันไปได้อย่างไร ในขณะที่เจ้าคิดเช่นนั้น เจ้าก็ลืมไปว่าเรากำลังจูงมือเจ้าอยู่แม้ว่าเจ้าจะสะดุดล้มลง เราเองเป็นผู้พยุงเจ้าให้ลุกขึ้นใหม่ เจ้าบอกเราว่ากังวลถึงหน้าผาสูงชันข้างหน้าเพียงใด..แต่ลูกเอ๋ย...เจ้าไม่มีทางรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนี้ หรือแม้แต่วันพรุ้งนี้อหนทางที่เราจัดเตรียมไวให้เราอาจกลายเป็นทางโค้งซึ่งนำเจ้าออกห่างจากภูเขานั้นก็ได้...และหากเราตั้งใจจะนำเจ้าไปยังหน้าผา..เราก็จะเตรียมกำลังและความเข้มแข็งให้เจ้าพร้อมเผชิญกับหน้าผาที่สูงชั้นนั้นด้วย..เราจะบัญชาทูตสวรรค์ให้ระแวดระวังและดูแลเจ้า..เพื่อคอยประคับประคองเจ้าไปตลอดทางนั้น..จงให้ความคิดของเจ้าจดจ่ออยู่ที่เส้นทางข้างหน้า..และจงชื่นชมยินดี..ในการสถิตอยู่ด้วยของเรา..ลูกเอ๋ย..จงเดินด้วยความเชื่อ..ไม่ใช้ด้วยสิ่งที่มองเห็น..และวางใจให้เราเป็นผู้เปิดทางให้แก่เจ้า..
(สดุดี 18:29, 91:11-12, 2โครินธ์ 5:7)




วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

ประวัติของอัครสาวกทั้ง 12 คน



        


นักบุญมัทธิว
หรือที่เรียกกันว่า "เลวี" ในพระวรสารของนักบุญมาระโก และลูกา มีอาชีพเก็บภาษีให้กรุงโรม ที่เมืองคาเบอร์นาอุม ทั้งคงมีพื้นเพทางวัฒนธรรมกรีก แต่ชื่อเก่าเป็นภาษาฮีบรู ชื่อของท่านมัทธิวนั้นหมายถึง "คนของพระเจ้า" ในพระวรสารเขียนถึงว่า "วันหนึ่งขณะที่ท่านนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน พระเยซูเจ้าเสด็จมาและชักชวนท่านว่า จงตามเรามาเถิด ทันใดนั้นท่านก็ได้ทิ้งงานและตามพระองค์ไป"
และหน้าที่สำคัญของท่านอีกอย่างหนึ่ง คือการถ่ายทอดข่าวดี หรือพระวรสาร หลังจากการเสด็จกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าแล้ว ท่านได้นิพนธ์ พระวรสาร เพื่อชักชวนให้ชาวยิวเชื่อมั่นว่า พระเยซูเจ้า คือพระเมสสิยาห์ พระผู้ไถ่ที่ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์แท้ ท่านได้เผยแพร่พระวรสารแก่ชาวยิวเป็นเวลานานถึง 15 ปี จนได้รับสมญานามว่า "อัครสาวกแห่งเอธิโอเปีย" ในภาพจะเห็นว่า ท่านยืนอยู่บนถุงเงิน แต่ท่านกำลังอ่านพระคำภีร์อยู่ หมายถึงว่าท่านเลิกอาชีพเก็บภาษี มาเป็นสาวก และเป็นผู้นิพนธ์พระวรสารฉบับหนึ่ง.
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=526951


นักบุญแอนดรูว์
มีชื่อมาจากภาษากรีก หมายความว่า " สมเป็นชายชาติบุรุษ" ดูเหมือนท่านเป็นคนใจกว้าง มีความพร้อมเสมอ เปิดเผยและกระตือรือร้น ท่านเป็นน้องชายของนักบุญเปโตร และเป็นลูกศิษย์ของนักบุญยอห์น บัปติสต์ วันหนึ่งขณะที่ท่านยอห์น บัปติสต์อยู่กับ สาวกอีกสองคน คนหนึ่งคือนักบุญแอนดรูว์ เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จมา ท่านยอห์นจึงบอกศิษย์ของท่านว่า "ท่านผู้นี้แหละคือลูกแกะ ของพระเจ้า" และศิษย์ทั้งสองก็ได้ติดตามพระเยซูเจ้าไป นักบุญแอนดรูว์เป็นผู้นำเปโตรมาให้พบพระเยซูเจ้า พระองค์จึงตรัสกับแอนดรูว์และเปโตรว่า " จงตามเรามาเถิด เราจะให้ท่านเป็นชาวประมงจับมนุษย์"
นักบุญแอนดรูว์ ได้ไปจาริกประกาศพระศาสนาจักร ยังประเทศกรีก รัสเซีย และโปรแลนด์ ท่านได้สิ้นใจเป็นมรณสักขี โดยการถูกจับตรึงกางเขนไขว้ เป็นรูป X ในภาษาอังกฤษ.
http://www.kamsondeedee.com/main/index.php/apostle/1028-saint

บาร์นาบัส
มีกำเนิดจากเชื้อสายของเลวี เป็นชาวเกาะไซปรัส ชื่อของท่านมีความหมายว่า "ผู้มีหน้าที่ตักเตือน" บาร์นาบัสเป็นผู้แนะนำเปาโลต่อบรรดาอัครสาวก
ขณะที่คริสตชนกำลังตั้งกลุ่มกันอยู่ที่อันติโอก บาร์นาบัสในฐานะตัวแทนของศาสนจักรแม่ คือกลุ่มพระวิหารเยรูซาเล็ม ถูกส่งไปเพื่อเป็นกำลังใจแก่บรรดาคริสตชนที่นักบุญเปาโลได้อบรมสั่งสอนอยู่ที่นั่นตลอดเวลา 1 ปี จากนั้นเปาโลและบาร์นาบัส ก็ได้จาริกไปประกาศพระศาสนจักรในต่างแดน ทั้งสองถูกเนรเทศจากเมืองแห่งหนึ่ง ไปอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นผลดีในงานเผยแพร่พระธรรม ในที่สุดบาร์นาบัส ก็ได้มาระโกเป็นผู้ช่วยอยู่ที่ไซปรัส
บาร์นาบัส ได้อุทิศชีวิตด้วยการประกาศพระศาสนา โดยการนำของพระจิตเจ้าและความศรัทธาแรงกล้า ท่านจบชีวิตด้วยการเป็นมารตีร์ที่ไซปรัส ในรัชสมัยกษัตริย์เนโร โดยมีพระวรสารฉบับของนักบุญมัทธิวกอดเอาไว้แนบอก.

นักบุญโทมัส
ชื่อของท่านในภาษาอารามัย หมายความว่า "คู่แฝด" และด้วยเหตุนี้เองนักบุญยอห์น จึงเรียกท่านเป็นภาษากรีกว่า "ดิดิม" ท่านเป็นผู้กล้าหาญ เสียสละอย่างยอดเยี่ยม เมื่อครั้งพระเยซูเจ้าทรงตรัสบอกบรรดาอัครสาวกว่า พระองค์ต้องรีบกลับไปเยี่ยมลาซารัส ที่แคว้นยูเดีย พวกสาวกได้ทราบข่าวประชาชนที่นั่นคงเอาหินทุ่มพระเยซูเจ้า ? ท่านได้กล่าวว่าเราจะไปด้วยกัน จะร่วมตายกับพระอาจารย์
เมื่อครั้งที่พระเยซูเจ้าปรากฎพระองค์แก่พวกสาวก หลังจากที่พระองค์กลับคืนพระชนม์ชีพ พวกสาวกได้กล่าวกับโทมัสว่า "เราได้พบพระเยซูเจ้าแล้ว" แต่ท่านตอบว่า " ข้าพเจ้าไม่เชื่อ จนกว่าจะได้เอานิ้วสอดเข้าไปในบาดแผลตะปู ที่พระหัตถ์และพระสีข้างของพระองค์" หลังจากนั้น 8 วัน ขณะที่โทมัสอยู่กับพวกสาวก พระเยซูเจ้าก็เสด็จมาประทับยืนต่อหน้าท่าน และตรัสแก่โทมัส ให้เอานิ้วสัมผัสที่สีข้างของพระองค์ พลางตรัสว่า "อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด" โทมัสได้ไปจาริกประกาศพระศาสนาในแคว้นต่างๆ สู่เปอร์เซีย และอินเดีย ซึ่งต่อมาท่านได้สิ้นชีวิตเป็นมรณสักขี.


เปรียบเทียบความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า ศาสนายิว - ศาสนาคริสต์ -ศาสนาอิสลาม


                ก. ศาสนายิว - ยูดาย (Judaism) มีหลักศรัทธาความเชื่อดังนี้
               1.  พระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงองค์เดียว      ไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากพระองค์
ทรงเป็นผู้สร้างโลกมนุษย์และสรรพสิ่งในเอกภพ  เป็นองค์แห่งความดี  ยุติธรรม  ความรักและปัญญา  ทรงบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ  ในประวัติศาสตร์  ทรงควบคุมเอกภพให้ดำเนินไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
               2.      กฎหมายของพระเจ้า  คือ กฎหมายสูงสุดที่แท้จริงแสดงให้ปรากฏในพระคัมภีร์และทัสมุดทุกประการ  ว่าด้วยการปกครอง  เศรษฐกิจ สังคม  และชีวิตประจำวัน  ไม่มีใครจะปฏิเสธกฎหมายสูงสุดนี้ได้
               3.      พระเจ้าทรงเลือกสรรชนชาติอิสราเอลให้เป็นผู้แทนพระองค์    เพื่อจะนำมนุษยชาติไปหาพระองค์  ชาวอิสราเอลทุกคนจึงมีหน้าที่เป็นพระต้องดำรงชีวิตให้อยู่ในความชอบธรรมและบริสุทธิ์ทุกประการ
               4.      เอกภาพทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นพระประสงค์  และนโยบายของพระเจ้าในการลงโทษและให้รางวัลแก่มนุษย์ว่าแต่ละครั้งพัฒนาไปสู่สภาวะที่ดีขึ้นเพื่อไปสู่อาณาจักรของพระเจ้า
               5.      ศาสดาพยากรณ์   เป็นผู้แทนที่แท้จริงของเทพเจ้าคำทำนายของศาสดาพยากรณ์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นการแสดงพระประสงค์ของพระเจ้าที่ตักเตือนสั่งสอนมนุษย์ให้รู้สึกผิดและให้โอกาสกลับตัวใหม่
               6.      เมื่อมนุษย์ตาย   พระเจ้าจะตัดสินพิพากษาด้วยความยุติธรรม  จะลงโทษคนบาปประทานพรแก่คนดี  ชำระบาปให้บริสุทธิ์ในโลกใหม่
               7.      พระเจ้าจะเสด็จมาพิพากษาโลกในวันสิ้นโลก  จะทำลายล้างคนชั่วให้หมดไป  แล้วตั้งอาณาจักรอันบริสุทธิ์ในโลกใหม่
               8.      พระเมสสิอาห์ (Massiah)  คือพระบุตรของพระเจ้า  บางทีเรียกบุตรมนุษย์จะเสด็จมาปราบศัตรูของพระเจ้าและช่วยผู้ที่ชื่อสัตย์ต่อพระองค์ให้พ้นจากทุกข์ทรมาน  จะทรงปกครองโลกด้วยสันติภาพและความรัก  ฉะนั้นให้มนุษย์เตรียมตัวไว้รับพระองค์ด้วยการดำรงค์ชีวิตให้บริสุทธิ์
               9.      การถือปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม  ซึ่งระบุไว้บนพระคัมภีร์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยควบคุมชีวิตมนุษย์ให้อยู่ในความบริสุทธิ์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
               10.     ชาวยิวต้องดำรงชีวิตในความบริสุทธิ์    ตามหลักปฏิบัติว่าด้วยสิทธิ ประการ  
 หลักศรัทธาความเชื่อศาสนายิว - ยูดาย (Judaism)
               เนื่องจากคติความเชื่อถือ  "ความหวังผู้มาโปรด"  ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากคำสอนศาสนาไซโรอัสเตอร์  ทำให้ชาวยิวมั่นใจในคติปรโลกเกี่ยวกับดวงวิญญาณที่มาพัวพันอยู่กับเรื่องของมนุษย์และเรื่องของชีวิตที่ตายแล้วจะร้องกลับฟื้นคืนชีพมาเกิดใหม่ในภพใหม่อีก  และบาปอันบุคคลหนึ่งทำแล้วย่อมต้องมีผลต่อสังคมต้องรับผลร่วมกัน  เรียกว่า บาปกำเนิด  ดังนั้นศาสดาพยากรณ์จึงมีความสำคัญมากที่จะเป็นผู้คอยกำหนดชะตากรรมของสังาคมต้องมีพระผู้ไถ่บาป  "Messiah"
               การทำบาปเป็นสิ่งที่ชำระได้ด้วยการออกนามพระเจ้าโดยวิธีอ้อนวอน ขอให้ทรงช่วย
ความสุขจะเกิดขึ้นได้แก่การสารภาพบาป  เพราะยิวเชื่อว่าผู้ปฏิเสธความผิด  ผู้นั้นจะได้รับโทษหรือความผิดถึง 2 เท่า  ดังนั้น  ยิวจึงถือหลักปฏิบัติว่า  กลัวพระเจ้า
การรักษาบัญญัติของพระองค์เป็นหน้าที่ของมนุษย์เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงนำคำพิพากษามาให้แก่มนุษย์ในส่วนดี  และส่วนที่ชั่วคือทั้งทุกข์ทั้งสุข  ชีวิตนี้มีเพียงครั้งเดียวความจงรักภักดีและบูชาในพระยะโฮวา  และการปฏิบัติตามเทวโองการผ่านโมเสส  จุดหมายคือการได้อยู่ร่วมกับพระเจ้าในสวรรค์

               ข. ศาสนาคริสต์  หลักศรัทธาความเชื่อศาสนาคริสตร์  ได้ดังนี้
               1. เป็นศาสนาที่สืบทอดประวัติศาสตร์และประเพณีมาจากศาสนายูดาย    ยอมรับคัมภีร์ของยูดายที่ว่า  พระเมสสิอาห์หรือพระผู้มาโปรดและรวบรวมคัมภีร์ใหม่ขึ้น  ประกาศว่า  พระเยซูคือพระเมสสิอาห์  ที่พวดยิวรอคอยอยู่นั้นเอง  จึงทำให้เกิดการแตกแยกกันคือยิวส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้  ปฏิเสธพระเยซูว่ามิใช่พระผู้มาโปรดอย่างสิ้นเชิง  ทำให้ผู้ไม่ยอมรับยังคงเป็นคริสต์ศาสนิกชนต่อไป  ส่วนผู้ยอมรับก็กลายเป็นศาสนิกชนคริสต์ไปแต่ก็ยังปฏิบัติตามพิธีกรรมและประเพณีศาสนารวมทั้งข้อเชื่ออื่น ๆ  อย่างเดียวกัน  เพราะมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน
               2. เพราะเชื่อว่า  พระเยซูคือพระผู้มาโปรดองค์จริง  ชาวคริสต์จึงสืบทอดประวัติศาสตร์ของศาสนาเดิมต่อไป  โดยถือว่า  พระเยซูคือประกาศหรือผู้ประกาศข่าวดีไว้ให้เท่านั้น และประกาศว่า  พระเยซูคือมนุษย์ที่เป็นบุตรของพระเจ้า  เมื่อพระเยซูสิ้นชีพแล้ว  สาวกได้พากันออกประกาศคำสอนและจริยาวัตรของพระเยซูว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้าด้วย
               3.  ศาสนาคริสต์ยอมรับคัมภีร์พันธสัญญาเดิมอยู่ก่อนแล้ว  เมื่อพระเยซูสิ้นชีพแล้ว  จึงได้รวบรวมคำสอนกิจกรรมและเหตุการณ์ของเหล่าสาวกที่ได้นิพนธ์เอาไว้  รวมกันขึ้นเป็นคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ระหว่าง ปี ค.ศ. 51-100  จากนั้นศาสนาคริสต์ก็พัฒนามาตามลำดับเป็นการปิดประเด็นประวัติศาสตร์แห่งการรอคอยของศาสนายูดายลง
              
                ค. ศาสนาอิสลามหลักศรัทธาความเชื่อ มีดังนี้
               1.      เป็นศาสนาแห่งการมอบตนต่ออัลเลาะห์ด้วยศรัทธา  เพื่อความสันติสุข  ต้องปฏิบัติตาม
กฎเกณฑ์ที่รวบรวมขึ้นไว้ในคัมภีร์อัลกุลอานอย่างเคร่งครัด  ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย  โดยมีความเชื่อเป็นสำคัญดังข้อความว่า "โอ้ มูฮำมัด จงกล่าวกับพวกไม่ยอม  เชื่อเถิดว่า  พวกเจ้าทั้งหลายจะถูกพิชิต  และพวกเจ้าจะถูกไล่ต้อนสู่นรกยะฮันนัม  อันเป็นที่พักที่เลวยิ่ง" ดังนี้
               2.      อิสลามถือว่าในการปฏิบัติศาสนาให้ถือเอาเทวโองการ  วจนะ จริยาวัตรของศาสดามุฮำ
มัด  เป็นเกณฑ์ตัดสินแต่เมื่อมีปัญหาให้ถือเอาคำชี้ขาดของผู้มีอำนาจในศาสนาเป็นหลัก
               3.      ศาสนาอิสลามตั้งอยู่บนเทวโองการที่ประทานแก่ศาสดามุฮัมมัด  ผ่านศาสนทูต  เปิดเผย
ครั้งแรกในวันที่  27 เดือนรอมฏอน ค.ศ. 610 ในถ้ำ  ฮิรอบนภูเขานูร์  เมื่อที่ศาสดามูฮัมมัดมีอายุ 40 ปี  ขณะนั่งสงบจิตอยู่ในถ้ำ
               4.      เทวโองการที่ศาสดามูฮำมัดได้รับมานั้น  เนื่องจากท่านไม่รู้หนังสือจึงบอกพระวจนะ
เหล่านั้นแก่ผู้ใกล้ชิดบันทึกไว้ครั้งต่อครั้งมีการทรงจำทบทวนสืบต่อกันมา  รอบรวมจารึกไว้เป็นคัมภีร์เมื่อท่านศาสดามุฮำมัดสิ้นชีพแล้ว  ได้6 เดือน
               5.      กฎหมายและระเบียบการดำเนินชีวิตของมุสลิม  นำไปสู่การสำนึกว่ามีพระเจ้าแต่พระ
องค์เดียวคือ  อัลเลาะห์  ทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่ง  และทรงกำหนดระเบียบให้สรรสิ่ง  ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ให้มนุษย์ปฏิบัติตามขั้นตอน  ลำดับในประวัติศาสตร์  แต่ทรงประทานกฎระเบียบต่าง ๆ  ที่สมบูรณ์ที่สุดให้กับศาสนทูตสุดท้ายคือมุฮำมัด  ผู้เชื่อฟังบัญชาของพระองค์  จะได้ไปสวรรค์นิรันดร  ผู้ขัดขืนจะได้รับโทษตกนรกนิรันดร
               6.      อิสลามถือว่าทุกคนเกิดมาโดยความปรานีของพระเจ้า  ไม่มีบาปติดตัวมาแต่กำเนิดทุกคน
เสมอกัน  มีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าใกล้พระเจ้า  ไม่มี  ไม่มีนักพรตทุกคนเป็นมุสลิมเหมือนกันและเมือถึงแก่กรรมแล้วจะได้ไปเกิดอีกครั้งในวันตัดสินบุญ  บาป ต่อหน้าพระเจ้า
               7.      อิสลามถือว่า  ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ในการไถ่บาปมนุษย์  สิทธิในการไถ่บาปเป็นของอัลเลาะห์
แต่พระองค์เดียว  ทุกคนต้องวิงวอนของอภัยด้วยตนเอง  และอิสลามเป็นคำสอนสุดท้ายที่พระเจ้าทรงประทานมาให้แก่มนุษย์
 สรุปเปรียบเทียบความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า  ศาสนายิว - ศาสนาคริสต์ -ศาสนาอิสลาม