คลังบทความภาษาไทย

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เพลงคริสเตียนทาง Youtube









เพลงก้าวต่อไป



เพลงรอคอยพระองค์
เพลงขอบพระคุณ -โต๋เพลงรักไม่มีเงื่อนไข
เพลงขอสัมผัสเพลงรักวิเศษ
เพลงขอหัวใจที่เหมือนพระทัยพระองค์เพลงเวลานี้เราจะถ่อมตัวลง
เพลงขอให้ลูกเพลงสาธุการพระนาม
เพลงข้าจะเคลื่อนไปตามพระบัญชาเพลงสิ่งที่มองไม่เห็น
เพลงความรักมั่นคงดำรงอยู่เพลงหัวใจแห่งการนมัสการ
เพลงคำไหน...คำนั้นเพลงหารักวันนี้
เพลงจงมีความเชื่อในพระองค์เถิดเพลงเหนือโลกา
เพลงจะเอามือวางที่ใจเพลงให้ทุกวันสรรเสริญพระองค์
เพลงจิตวิญญาณข้ากระหายเพลงอยู่ตรงนี้
เพลงชีวิตข้าขอวางใจเพลงอยู่ในความรักของพระเยซู
เพลงถวายตัวเพลงอยู่ในพระทัยพระองค์
เพลงทางเดียวเยซูเพลงอยู่ในพระหัตถ์พระองค์
เพลงที่บนกางเขนเพลงโฮซันนา
เพลงเธอคือความสุขเพลงเพราะทรงเป็นพระเจ้า
เพลงในพระองค์ ขอทรงนำทาง....เพลงข้าจะรักและบูชา
เพลงฝากใจไว้ที่กางเขนเพลงอยู่เพื่อรับใช้
เพลงพระคุณซ้อนพระคุณเพลงอยู่ที่ใจ
เพลงพระคุณพระเจ้า
เพลงพระเจ้าทรงเลี้ยงดู
เพลงพระเจ้ายิ่งใหญ่
เพลงพระบิดา
เพลงพรุ่งนี้
เพลงพัก
เพลงพักพิงในพระเจ้า
เพลงเพลงพระองค์เป็นทุกสิ่ง
เพลงเพียงผู้เดียว
เพลงมั่นใจในพระองค์
เพลงไม่ว่าอยู่แห่งหนไหน

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ไม่ว่าอยู่แห่งหนไหน - True Worshipers.wmv




Amazing Evidence For God – Scientific Evidence For God



Over the last few decades scientists from around the world have been making discoveries which clearly show that an intelligent designer is responsible for the creation of the universe.

Many believe that the entire universe came into existence out of nothing by chance. But if you really think about it, nothing couldn’t bring the universe into existence, because nothing produces nothing.

Everything that begins to exist must have a cause. But many believe that to get a solar system like ours, with a planet suitable for life (like Earth), wouldn’t be that difficult. However, many scientists disagree, and have brought forth overwhelming evidence to support their position. For example, there are many forces in the universe that are precisely balanced that do things such as pull matter together.

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561

The Nativity Story กำเนิดพระเยซู พากย์ไทย

พระเจ้างมงายเพราะพิสูจน์ไม่ได้?



Cr: คุณแชมป์ Bright Romance เเสงสว่างเเห่งรักที่เเท้จริง



พระเยซูผู้ไถ่บาปหรือคนบ้าเพื่อลวงโลก



คนเปลี่ยนได้เเค่ไหน?



Bright Romance เเสงสว่างเเห่งรักที่เเท้จริง

https://web.facebook.com/brightromance/?_rdc=1&_rdr

เลือกเส้นทาง


  23/10/2018

อ่าน: มัทธิว 7:13-14 | อ่านพระคัมภีร์ภายใน 1 ปี: เยเรมีย์ 1-2; 1 ทิโมธี 3

ประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้น ก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย - มัทธิว 7:14

ผมมีภาพถ่ายชายหนุ่มบนหลังม้าบนภูเขาในโคโลราโดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงอันงดงาม เขากําลังครุ่นคิดว่าควรเลือกไปต่อในเส้นทางใด ทําให้ผมคิดถึงบทกวี “ถนนที่ไม่ได้เลือก” ของโรเบิร์ต ฟรอสต์ ซึ่งขบคิด เรื่องทางสองสายที่อยู่เบื้องหน้า ทั้งสองทางดูเชิญชวนพอๆ กัน แต่เขาคงจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก เขาจึงต้องเลือกสักทาง ฟรอสต์เขียนไว้ว่า “ทางสองสายทอดเข้าไปในป่า และฉันเลือกทางที่มีคนเคยผ่านน้อยกว่า และนั่นได้ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป”

ในคําเทศนาบนภูเขาของพระเยซู (มธ.5-7) พระองค์ตรัสกับผู้ฟังว่า “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างซึ่งนําไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพราะว่าประตูซึ่งนําไปถึงชีวิต นั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย” (7:13-14)

ตลอดชีวิตเรา เราต้องเจอกับทางเลือกมากมายว่าควรจะไปทางใด หลายเส้นทางดูแล้วน่าจะนําไปสู่สิ่งที่ดีและน่าดึงดูดใจ แต่เส้นทางไปสู่ชีวิต มีเพียงทางเดียว พระเยซูทรงเรียกให้เราเดินไปบนทางของการเป็นสาวก และการเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า คือติดตามพระองค์แทนที่จะติดตามฝูงชน

เมื่อเราครุ่นคิดถึงหนทางข้างหน้า ขอพระเจ้าประทานสติปัญญาและความกล้าหาญแก่เราในการเดินตามทางของพระองค์ คือทางแห่งชีวิต ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งของเราและคนที่เรารัก

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขณะที่เราดำเนินชีวิตในวันนี้ โปรดให้ตาของเรามองเห็น ทางแคบที่นำไปสู่ชีวิต และประทานความกล้าให้เราเดินตามไป

จงเลือกเดินในทางแห่งชีวิตกับพระเยซู

================================================

คำเทศนา จงเข้าไปทางประตูแคบ



จงเข้าไปทางประตูแคบ มธ. 7:13-14 13 จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก 14 เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย ทางของพระเจ้า นั้นแคบแต่มีเป้าหมาย ชัดเจน  คือ การอยู่กับพระคริสต์ตลอดนิรันดร แม้ยากลำบาก..แต่ทำให้ระมัดระวัง  ทางกว้าง ก็มากด้วยการล่อลวง ความสะดวกสบาย..แต่นำไปสู่ความความพินาศ คริสเตียนเปรียบได้กับเรือ 3 ประเภท 1)แบบเรือลากจูง ได้แก่ คนที่สามารถติดตามพระเยซูคริสต์ได้ทุกสถานการณ์ มีพลังและความร้อนรนสามารถลากจูงคนอื่นได้    พวกเขาเป็นเหมือนกับคนที่พยายามเข้าทางประตูแคบ ตามที่พระองค์ตรัส มธ. 11:12 และตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาถึงทุกวันนี้ อาณาจักรแห่งสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่คนได้แสวงหาด้วยใจร้อนรน และผู้ที่ใจร้อนรนก็เป็นผู้ที่ชิงเอาได้ 2ทธ. 4:7 ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว 2) แบบเรือใบ ได้แก่ คนที่ติดตามพระเยซูเฉพาะเวลาที่มีคลื่นลมเหมาะสมเท่านั้น พวกเขามาโบสถ์วันอาทิตย์ตามโอกาส เช่น คริสต์มาส หรือตามคนอื่น หากไม่มีใครพามาจะไม่มา พวกเหล่านี้คือผู้ที่ติดตามพระเยซูผ่านทางประตูกว้าง และรู้สึกลังเลที่จะติดตามพระองค์ทางประตูแคบ แนวโน้มของพวกเขาคือทำตามอย่างคนอื่น 3) แบบเรือแพ ได้แก่ คริสเตียนแต่ชื่อ หรือ เฉพาะในทะเบียนบ้าน พวกเขาไม่ได้ติดตามพระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง แม้ในเวลาที่คลื่นลมและโอกาสอำนวย พวกเขาจะทำก็ต่อเมื่อมีอะไรที่ผลักดันพวกเขาให้ไป เช่น ผลประโยชน์ พวกเขาปฏิบัติศาสนกิจไม่ใช่เพราะเห็นคุณค่า แต่เพราะเงื่อนไขบางอย่างที่บังคับพวกเขาให้ทำ ดังนั้น พวกเขาจึงเป็น คริสเตียนแต่ชื่อ จงพยายามเข้าทางประตูแคบ ทุกวันนี้ เราถูกท้าทายด้วยกระแสและค่านิยมของโลกหลายรูปแบบ โดยเฉพาะค่านิยมที่ว่า “คนอื่นก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น” เช่นคดโกง เอารัดเอาเปรียบ หรือประพฤติผิดศีลธรรมต่างๆ หากเราทำบ้างคงไม่เป็นไร เป็นการง่ายที่จะเข้าทางประตูกว้างหรือทำอย่างที่คนส่วนใหญ่ทำกัน แต่การเดินสวนกระแสย่อมยากกว่าเสมอ แต่นี่คือการเดินทางสู่ประตูแคบ เพื่อจะได้มีชีวิตที่สนิทความสัมพันธ์กับพระเจ้า และร่วมส่วนในงานเลี้ยงนิรันดร์กับพระองค์  ตรงนี้มีความหมายที่บอกถึง การที่แต่ละคนจะต้องรับผิดชอบตนเองในเรื่องการเข้าประตูแห่งความรอด  ยน. 10:9 เราเป็นประตู ถ้าผู้ใดเข้าไปทางเรา ผู้นั้นจะรอด และเขาจะเข้าออก แล้วจะพบอาหาร กจ. 4:12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า" ยน. 14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา อฟ. 2:2 ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยดำเนินตามวิถีของโลกนี้ตามเจ้าแห่งอำนาจในย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในบุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง สรุป ลก. 9:62 ..“ไม่​มี​ใคร​ที่​เอา​มือ​จับ​คัน​ไถ​แล้ว​หัน​หลัง​กลับ จะ​สม​ควร​กับ​แผ่น​ดิน​ของ​พระ​เจ้า”.. พระเยซูทรงเป็นทางรอดเพียงทางเดียว  การเข้าแผ่นดินสวรรค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าความดีของเรามีมากกว่าความชั่ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว คงไม่มีสักคนที่จะเข้าไปได้ “แต่ถ้าพวกเขาได้รับความรอดโดยทางพระคุณของพระเจ้า

พระเยซูสอนเรื่องการอธิษฐาน

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Arise & Shine : คำพยานชีวิตคุณชุติมณฑน์

                

คำพยานของคุณอ้อย จะช่วยหนุนใจพี่น้องที่อยู่ในความจำกัดให้ลุกขึ้น ส่องแสงของพระคริสต์ คำพยานที่จะทำให้เรามั่นใจในพระเจ้าว่า ไม่มีใครเล็กน้อย หรือจำกัดเกินกว่าที่พระเจ้าจะใช้ได้ ขอเพียงมีใจ พระเจ้าจะทำการอัศจรรย์อย่างยิ่งใหญ่ผ่านชีวิตที่ยอมให้พระองค์ส่องสว่างแสงของพระองค์ เพราะไม่มีใครเข้าใจคนในพื้นที่ชีวิตของเราได้ดีเท่าเรา ให้เราลุกขึ้นในเป็นตัวแทนของพระองค์ เป็นมือ เป็นกระบอกเสียง เป็นอ้อมกอดของพระเจ้าให้กับผู้คนที่ต้องการความรัก และความช่วยเหลือด้วยความรักของพระองค์ด้วยกัน

แผ่นดินบริสุทธิ์ในสมัยพันธสัญญาใหม่




(คลิกเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น)

  1. ไทระและไซดอน พระเยซูทรงเปรียบเทียบโคราซินและเบธไซดากับไทระและไซดอน (มธ. ๑๑:๒๐–๒๒). พระองค์ทรงรักษาบุตรสาวของหญิงต่างชาติ (มธ. ๑๕:๒๑–๒๘).
  2. ภูเขาแห่งการเปลี่ยนสภาพ พระเยซูทรงเปลี่ยนสภาพต่อหน้าเปโตร, ยากอบ, และยอห์น, และพวกเขาได้รับกุญแจทั้งหลายของอาณาจักร (มธ. ๑๗:๑–๑๓). (บางคนเชื่อว่าภูเขาแห่งการเปลี่ยนสภาพคือภูเขาเฮอร์โมน; บ้างก็เชื่อว่าเป็นภูเขาทาโบร์.)
  3. ซีซารียา ฟีลิปปี เปโตรเป็นพยานว่าพระเยซูคือพระคริสต์และได้รับสัญญาถึงกุญแจทั้งหลายของอาณาจักร (มธ. ๑๖:๑๓–๒๐). พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าถึงการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์เอง (มธ. ๑๖:๒๑–๒๘).
  4. เขตกาลิลี พระเยซูทรงอุทิศพระชนม์ชีพและการปฏิบัติศาสนกิจส่วนใหญ่ของพระองค์ในกาลิลี (มธ. ๔:๒๓–๒๕). ที่นี่พระองค์ประทานคำเทศนาบนภูเขา (มธ. ๕–๗); ทรงรักษาคนโรคเรื้อน (มธ. ๘:๑–๔); และทรงเลือก, ทรงแต่งตั้ง, และทรงส่งอัครสาวกสิบสองออกไป, ซึ่งในบรรดาคนเหล่านั้นมีเพียงยูดาสอิสคาริโอทเท่านั้นที่ปรากฏว่าไม่ใช่ชาวกาลิลี (มาระโก ๓:๑๓–๑๙). ในกาลิลีพระคริสต์ผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ทรงปรากฏต่อบรรดาอัครสาวก (มธ. ๒๘:๑๖–๒๐).
  5. ทะเลกาลิลี, ต่อมาเรียกว่าทะเลทิเบเรียส พระเยซูทรงสอนจากเรือของเปโตร (ลูกา ๕:๑–๓) และทรงเรียกเปโตร, อันดรูว์, ยากอบ, และ ยอห์นเป็นผู้หาคนดั่งหาปลา (มธ. ๔:๑๘–๒๒; ลูกา ๕:๑–๑๑). พระองค์ยังทรงห้ามพายุอีกด้วย (ลูกา ๘:๒๒–๒๕), ทรงสอนคำอุปมาจากเรือ (มธ. ๑๓), ทรงดำเนินบนทะเล (มธ. ๑๔:๒๒–๓๒), และทรงปรากฏต่อบรรดาสานุศิษย์ของพระองค์หลังการฟื้นคืนพระชนม์ (ยอห์น ๒๑).
  6. เบธไซดา เปโตร, อันดรูว์, และฟีลิปเกิดในเบธไซดา (ยอห์น ๑:๔๔). พระเยซูเสด็จออกไปใกล้เบธไซดาเป็นการส่วนพระองค์กับบรรดาอัครสาวก. ฝูงชนตามพระองค์ไป, และพระองค์ทรงเลี้ยงคน ๕,๐๐๐ คน (ลูกา ๙:๑๐–๑๗; ยอห์น ๖:๑–๑๔). ที่นี่พระเยซูทรงรักษาคนตาบอด (มาระโก ๘:๒๒–๒๖).
  7. คาเปอรนาอุม ที่นี่เป็นบ้านของเปโตร (มธ. ๘:๕, ๑๔). ในคาเปอรนาอุม, ซึ่งมัทธิวเรียกว่าเมืองของพระเยซู “เมืองของพระองค์เอง”, พระเยซูทรงรักษาคนง่อย (มธ. ๙:๑–๗; มาระโก ๒:๑–๑๒), ทรงรักษาคนรับใช้ของนายร้อย, ทรงรักษาแม่ยายของเปโตร (มธ. ๘:๕–๑๕), ทรงเรียกมัทธิวให้เป็นหนึ่งในอัครสาวกของพระองค์ (มธ. ๙:๙), ทรงเปิดดวงตาของคนตาบอด, ทรงขับมาร (มธ. ๙:๒๗–๓๓), ทรงรักษาชายที่มือลีบในวันสะบาโต (มธ. ๑๒:๙–๑๓), ประทานโอวาทเรื่องอาหารแห่งชีวิต (ยอห์น ๖:๒๒–๖๕), และทรงเห็นด้วยเรื่องการจ่ายภาษี, โดยรับสั่งให้เปโตรหยิบเงินจากปากของปลา (มธ. ๑๗:๒๔–๒๗).
  8. มักดาลา นี่คือบ้านของมารีย์ชาวมักดาลา (มาระโก ๑๖:๙). พระเยซูเสด็จมาที่นี่หลังจากเลี้ยงคน ๔,๐๐๐ คน (มธ. ๑๕:๓๒–๓๙), และพวกฟาริสีกับพวกสะดูสีขอให้พระองค์ทรงแสดงเครื่องหมายจากสวรรค์แก่พวกเขา (มธ. ๑๖:๑–๔).
  9. คานา พระเยซูทรงทำให้น้ำกลายเป็นเหล้าองุ่น (ยอห์น ๒:๑–๑๑) และทรงรักษาบุตรชายของข้าราชการซึ่งอยู่ที่คาเปอรนาอุม (ยอห์น ๔:๔๖–๕๔). คานาเป็นบ้านของนาธานาเอลด้วย (ยอห์น ๒๑:๒).
  10. นาซาเร็ธ เทวประกาศถึงมารีย์กับโยเซฟเกิดขึ้นในนาซาเร็ธ (มธ. ๑:๑๘–๒๕; ลูกา ๑:๒๖–๓๘; ๒:๔–๕). เมื่อกลับจากอียิปต์แล้ว, พระเยซูทรงเจริญวัยที่นี่ในวัยเด็กและวัยหนุ่ม (มธ. ๒:๑๙–๒๓; ลูกา ๒:๕๑–๕๒), ทรงประกาศว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์, และทรงถูกปฏิเสธจากผู้คนของพระองค์เอง (ลูกา ๔:๑๔–๓๒).
  11. เยรีโค พระเยซูทรงรักษาคนตาบอดให้มองเห็นได้ (ลูกา ๑๘:๓๕–๔๓). พระองค์เสวยพระกระยาหารกับศักเคียส, “นายด่านภาษี” (ลูกา ๑๙:๑–๑๐).
  12. เบธาบารา ยอห์น ผู้ถวายบัพติศมาเป็นพยานว่าเขาคือ “เสียงของผู้ที่ร้องประกาศในถิ่นทุรกันดาร” (ยอห์น ๑:๑๙–๒๘). ยอห์นถวายบัพติศมาพระเยซูในแม่น้ำจอร์แดนและเป็นพยานว่าพระเยซูคือพระเมษโปดกของพระผู้เป็นเจ้า (ยอห์น ๑:๒๘–๓๔).
  13. แดนทุรกันดารยูเดีย ยอห์น ผู้ถวายบัพติศมาสั่งสอนในแดนทุรกันดารนี้ (มธ. ๓:๑–๔), ซึ่งที่นั่นพระเยซูทรงอดอาหาร ๔๐ วันและทรงถูกล่อลวง (มธ. ๔:๑–๑๑).
  14. เอมมาอูส พระคริสต์ผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ทรงดำเนินบนถนนสู่เอมมาอูสพร้อมกับสานุศิษย์สองคนของพระองค์ (ลูกา ๒๔:๑๓–๓๒).
  15. เบธฟายี สานุศิษย์สองคนจูงลูกลาตัวหนึ่งมาให้พระเยซูและพระองค์ทรงลาตัวนั้นเข้าไปในเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต (มธ. ๒๑:๑–๑๑).
  16. เบธานี นี่คือบ้านของมารีย์, มารธา, และลาซารัส (ยอห์น ๑๑:๑). มารีย์ได้ยินพระวจนะของพระเยซู, และพระเยซูรับสั่งกับมารธาเรื่องการเลือก “ส่วนดี” (ลูกา ๑๐:๓๘–๔๒); พระเยซูทรงทำให้ลาซารัสลุกขึ้นจากความตาย (ยอห์น ๑๑:๑–๔๔); และมารีย์เจิมพระบาทของพระเยซู (มธ. ๒๖:๖–๑๓; ยอห์น ๑๒:๑–๘).
  17. เบธเลเฮม พระเยซูประสูติและมารีย์วางพระองค์ไว้ในรางหญ้า (ลูกา ๒:๑–๗); เหล่าเทพส่งข่าวแก่บรรดาคนเลี้ยงแกะถึงการประสูติของพระเยซู (ลูกา ๒:๘–๒๐); ดาวดวงหนึ่งนำทางบรรดาโหราจารย์ไปเฝ้าพระเยซู (มธ. ๒:๑–๑๒); และเฮโรดสังหารเด็ก ๆ (มธ. ๒:๑๖–๑๘).

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2561

สอนลูกวัยรุ่นให้ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย

 ปัญหา

เมื่อคุณดูข่าวแล้วเห็นว่าอินเทอร์เน็ตถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ การล่อลวงทางเพศ และการขโมยข้อมูลส่วนตัว คุณคงรู้สึกเป็นห่วงลูกวัยรุ่นของคุณที่ชอบออนไลน์บ่อย ๆ และดูเหมือนลูกก็ไม่รู้ว่าตัวเองอาจตกเป็นเหยื่อได้
คุณสามารถ ช่วยลูกวัยรุ่นของคุณให้ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยได้ แต่ก่อนอื่นขอให้คิดถึงบางอย่างที่คุณควรรู้เกี่ยวกับโลกออนไลน์

สิ่งที่คุณควรรู้

วัยรุ่นออนไลน์ผ่านมือถือหรือแท็บเล็ตได้ การตั้งคอมพิวเตอร์ไว้ตรงจุดที่ทุกคนในบ้านมองเห็นได้นับว่าเป็นกฎที่ดี แต่มือถือและแท็บเล็ตก็เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ลูกของคุณจึงออนไลน์ได้อย่างง่ายดายโดยที่คุณไม่รู้เลย ว่าเขากำลังดูอะไร หรือคุยกับใคร


พ่อยื่นกุญแจรถให้ลูกชาย


ที่จริง อุบัติเหตุที่เกิดจากการขับรถไม่ได้ทำให้การขับรถกลายเป็นเรื่องผิด หลักการเดียวกันนี้ก็ใช้ได้กับอินเทอร์เน็ตด้วย การใช้อินเทอร์เน็ตไม่ผิด แต่ลูกวัยรุ่นของคุณจำเป็นต้องรู้วิธี “ใช้” อย่างปลอดภัย
วัยรุ่นบางคนใช้เวลาออนไลน์มากเกินไป สาววัย 19 ยอมรับว่า “ตอนเปิดคอมพิวเตอร์ฉันกะว่าจะเช็คอีเมลสัก 5 นาทีเท่านั้น แต่ไป ๆ มา ๆ ฉันกลับนั่งดูวีดีโอเป็นชั่วโมง ๆ ฉันต้องควบคุมตัวเองให้มากกว่านี้”
วัยรุ่นอาจเปิดเผยเรื่องส่วนตัวมากเกินไปบนโลกออนไลน์ คนที่มีเจตนาไม่ดีอาจปะติดปะต่อข้อมูลที่ได้จากคอมเมนต์ (ความคิดเห็น) และรูปภาพของลูก เช่น ข้อมูลว่าเขาอยู่ที่ไหน ไปโรงเรียนอะไร และตอนไหนที่ไม่มีใครอยู่บ้าน
วัยรุ่นบางคนไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาโพสต์จะก่อผลอะไรตามมา รูปภาพหรือข้อความที่โพสต์ (ส่ง) บนอินเทอร์เน็ตก็จะอยู่อย่างนั้นไปตลอด สิ่งที่น่าอายซึ่งบางคนคิดว่าเขาลบออกไปแล้วอาจมีคนเข้าไปอ่านหรือพบเจอในภายหลังได้ เช่น บางครั้งนายจ้างอาจดูประวัติของผู้สมัครงานโดยใช้ข้อมูลจากโลกออนไลน์ด้วย
แม้ว่ามีหลายอย่างที่ดูน่าเป็นห่วง แต่ขอให้จำไว้ว่า อินเทอร์เน็ตไม่ใช่ศัตรูของคุณ แทนที่จะเป็นอย่างนั้น การใช้อย่างไม่ฉลาด ต่างหากที่จะทำให้เกิดปัญหา

 สิ่งที่คุณทำได้

สอนลูกให้รู้จักจัดลำดับความสำคัญและแบ่งเวลาให้ถูก ถ้าเราอยากให้ลูกโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ ต้องสอนให้เขารู้ว่าควรทำสิ่งไหนก่อนหลัง การพูดคุยกันในครอบครัว การบ้าน และงานบ้านเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการเอาแต่เล่นอินเทอร์เน็ตไปเรื่อยเปื่อย ถ้าลูกใช้เวลาออนไลน์มากจนน่าเป็นห่วง คุณต้องจำกัดเวลาหรือถ้าจำเป็นอาจถึงกับต้องใช้นาฬิกาจับเวลากันเลยทีเดียว—คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: ฟิลิปปอย 1:10
สอนลูกให้คิดก่อนโพสต์ ช่วยลูกวัยรุ่นให้คิดว่า คอมเมนต์ที่ฉันกำลังจะโพสต์มันจะทำให้คนอื่นเสียใจหรือเจ็บใจไหม? ชื่อเสียงของฉันจะเสียหายไหมถ้าโพสต์รูปนี้ไป? ฉันจะรู้สึกอับอายไหมถ้าพ่อแม่หรือผู้ใหญ่คนอื่นมาเห็นรูปหรือคอมเมนต์นี้เข้า? คนอื่นจะคิดว่าฉันเป็นคนอย่างไรถ้าเขาเห็นรูปนี้? ฉันจะคิดอย่างไรถ้าเห็นคนอื่นโพสต์รูปหรือคอมเมนต์แบบนี้?—คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: สุภาษิต 10:23
สอนลูกให้รู้จักคิดว่าอะไรถูกอะไรผิด ไม่ใช่เอาแต่ตั้งกฎ คุณไม่มีทางจะตามดูลูกได้ทุกฝีก้าวว่าเขาทำอะไรบ้างในแต่ละวัน ดังนั้น เป้าหมายของพ่อแม่คือไม่ใช่คอยควบคุมลูก แต่ช่วยลูกให้ “ฝึกใช้วิจารณญาณเพื่อจะแยกออกว่าอะไรถูกอะไรผิด” (ฮีบรู 5:14) ดังนั้น แทนที่จะเน้นแต่กฎเกณฑ์และการลงโทษเป็นหลัก คุณน่าจะฝึกลูกให้รู้จักคิดอย่างมีเหตุผลว่าเขาอยากมีชื่อเสียงแบบไหน? อยากให้คนอื่นรู้จักเขาว่าเป็นคนแบบไหน? เป้าหมายของคุณคือ ช่วยลูกวัยรุ่นให้รู้จักตัดสินใจอย่างฉลาดสุขุมเสมอไม่ว่าตอนนั้นคุณจะอยู่ด้วยหรือไม่—คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: สุภาษิต 3:21
“ถึงวัยรุ่นจะรู้เรื่องเทคโนโลยีมากกว่า แต่พ่อแม่ก็รู้เรื่องชีวิตมากกว่า”
การท่องโลกอินเทอร์เน็ตก็เหมือนกับการขับรถ ไม่ใช่แค่รู้วิธีขับ แต่ต้องรู้จักใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจด้วย คำแนะนำของพ่อแม่จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังที่เพอร์รี อัฟแท็บ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของอินเทอร์เน็ตกล่าวไว้ว่า “ถึงวัยรุ่นจะรู้เรื่องเทคโนโลยีมากกว่า แต่พ่อแม่ก็รู้เรื่องชีวิตมากกว่า”