คลังบทความภาษาไทย
- หน้าแรก
- เปรียบเทียบความเชื่อศาสนาต่าง ๆ
- เรื่องน่ารู้สำหรับผู้เชื่อใหม่
- วีดีโอคำพยาน
- ประวัติอัครสาวกทั้ง 12 คน
- โองการ
- My Inspiration Quotes
- ก่อนตายต้องรู้
- Keep Praying
- bright romance แสงสว่างเเห่งรักที่เเท้จริง
- English Articles
- Lost in my own thoughts
- My Stoties/เรื่องราวของฉันกับพระองค์
- The Perfect Stranger_Supper with Jesus 2005
- another perfect stranger christian movie
- Interesting videos
- คลังบทความภาษาไทย
- My Facebook
- I am a Stroke Survivor!!
- พระเยซูคริสต์ ภาษาไทย Jesus Christ Thai
- Ian's Testimony.
- The Hope ความหวัง
- เกิดอะไรขึ้นที่บนไม้กางเขน
- ปฏิหาริย์พระเยซู
- คำอธิษฐาน
- รวมเพลงคริสเตียนทาง you tube
- ทำไมพระเยซูตาย?
- วิทยาศาสตร์กับพระเจ้า(คุณหมอภากร)
- Amazing Evidence For God – Scientific Evidence For God
- รวมเพลงนมัสการ
- คริสตจักรของ พระคริสต์
- Bible coursesonline
- I love You My God
- พระเจ้าที่เรามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่เรารับรู้การมีอยู่ของพระองค์ได้
- ชีวิตของพระเยซูคริสต์
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ความอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ คือ เมื่อคุณเชื่อและทำตามทุกอย่างที่พระเจ้าสอน..
รักไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือรักของพระเยซู
ความอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ คือ เมื่อคุณเชื่อและทำตามทุกอย่างที่พระเจ้าสอน.........ถึงคุณได้สัมผัสพลังแห่งการเจิมจากเบื้องบน หายป่วยโดยฉับพลัน พระเจ้าพูดเข้ามาในหูได้ยินชัดแจ๋ว วิญญาณชั่วที่สิงได้ออกไป ล้มพระวิญญาณ......จะมีประโยชน์อันใด เมื่อคุณสัมผัสสิ่งเหล่านี้แล้วคุณยังมีชีวิตแบบเดิมๆ อย่างเดิม เท่าเดิม คุณยังเป็นคนเดิม......คุณไม่กล้าที่จะตาย....คุณไม่ยอมตาย.....แล้วคุณจะพบการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของชีวิตได้อย่างไร.....เพราะฉนั้นจงตายซะ...!!!! แล้วบังเกิดใหม่ เอเมน
ความอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ คือ เมื่อคุณเชื่อและทำตามทุกอย่างที่พระเจ้าสอน.........ถึงคุณได้สัมผัสพลังแห่งการเจิมจากเบื้องบน หายป่วยโดยฉับพลัน พระเจ้าพูดเข้ามาในหูได้ยินชัดแจ๋ว วิญญาณชั่วที่สิงได้ออกไป ล้มพระวิญญาณ......จะมีประโยชน์อันใด เมื่อคุณสัมผัสสิ่งเหล่านี้แล้วคุณยังมีชีวิตแบบเดิมๆ อย่างเดิม เท่าเดิม คุณยังเป็นคนเดิม......คุณไม่กล้าที่จะตาย....คุณไม่ยอมตาย.....แล้วคุณจะพบการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของชีวิตได้อย่างไร.....เพราะฉนั้นจงตายซะ...!!!! แล้วบังเกิดใหม่ เอเมน
"เป็นไปไม่ได้เลย ... ที่เราจะดำเนินชีวิตในโลกท่ามกลางกระแสกดดันต่างๆ
Netsak Sairangka
"เป็นไปไม่ได้เลย ... ที่เราจะดำเนินชีวิตในโลกท่ามกลางกระแสกดดันต่างๆของโลกนี้ แล้วเราจะไม่พึ่งพากำลังฝ่ายวิญญาณ และหันไปอาศัยแต่กำลังเนื้อหนังฝ่ายเดียว"
จึงจำเป็นมากๆที่เราต้องเข้าหาพระเจ้า
"เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ขัดแย้งกับเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ" (กท.5:17)
เคยไหม...ที่บางที สิ่งดีมากมายที่เราตั้งใจอยากจะทำ แต่พอถึงเวลากลับทำไม่ได้ เพราะว่าในตัวของเรานั้นมีธรรมชาติของเนื้อหนังอยู่ ... หลายๆครั้งเราเลือกจะทำสิ่งที่ถูกใจมากกว่าสิ่งที่ถูกต้องเสมอ
"คือว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ก็ไม่ได้ทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาทำ ก็ยังทำอยู่ ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้ทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ" (รม.7:19-20)
แม้ว่าเราจะรู้ว่าอะไรบาป อะไรดี เราได้เรียนรู้ว่าสิ่งใดควรทำและสิ่งใดไม่ควรทำ เรารู้ดี...ทุกสิ่ง อาจจะด้วยเหตุผลหลายๆประการที่เราเผลอทำสิ่งไม่ดีนั้น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ... แน่นอนเราทุกคนอยากจะทำดีมากกว่าทำชั่ว แต่...บางทีก็ยากที่จะทำจริงๆ
"โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้? ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้" (รม.7:24)
ด้วยเหตุนี้...เราจำเป็นต้องเข้ามาพึ่งพาพระวิญญาณฯให้มากๆ ผ่านการเฝ้าเดี่ยว เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเผชิญสิ่งสารพัดในโลกโดยปราศจากการพึ่งพาพระวิญญาณฯผ่านการเฝ้าเดี่ยว
การเฝ้าเดี่ยว ไม่ใช่โปรแกรมๆหนึ่งของชีวิต หากแต่เป็นส่วนหนึ่งและเป็นส่วนสำคัญของชีวิตของเรา และการเฝ้าเดี่ยวเป็นรากฐานที่สำคัญมากของชีวิตในการเดินกับพระเจ้าในแต่ละวัน พระเยซูคริสต์แม้จะทรงเป็นพระเจ้าในสภาพของมนุษย์ พระองค์ก็ทรงให้ความสำคัญของการเฝ้าเดี่ยวเสมอ
"ในเวลาเช้ามืดพระองค์ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่สงบ และทรงอธิษฐานที่นั่น" (มก.1:35)
พระเยซูคริสต์ทรงมีโปรแกรมมากมายในแต่ละวัน แต่พระองค์ก็ทรงให้ความสำคัญกับการเฝ้าเดี่ยวมาก เพราะทรงรู้ว่า หากปราศจากการเฝ้าเดี่ยวก็อาจจะอ่อนกำลังได้ เพราะการเฝ้าเดี่ยว เป็นการเอาชีวิตของเราไปต่อสนิทกับพระเจ้า
และการเฝ้าเดี่ยวนั้น...เป็นการบ่งบอกว่า ไม่มีอะไรที่สำคัญที่สุดนอกจากเรื่องระหว่างเรากับพระเจ้าเท่านั้น ฉะนั้น เราต้องหาที่สงบ เพื่อให้จิตใจสงบ เอาทุกสิ่งที่เรากังวลหรือสิ่งที่เราอยากจะทำนั้นวางไว้ที่แท่นบูชา เอาเวลาคิดถึงแต่ความงดงามของพระเจ้า
"จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย จงตื่นเถิด พิณใหญ่และพิณเขาคู่เอ๋ย จงตื่นเถิด ข้าพเจ้าจะปลุกอรุณ ข้าแต่องค์เจ้านาย ข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระองค์ท่ามกลางชาวประเทศทั้งหลาย" (สดด.57:8-9)
"เพราะวันเดียวในบริเวณพระนิเวศของพระองค์ดีกว่าพันวันในที่อื่น ข้าพเจ้าจะขอเป็นคนเฝ้าประตูพระนิเวศพระเจ้าของข้าพเจ้า ดีกว่าอยู่ในเต็นท์ของความอธรรม" (สดด.84:10)
หลายๆครั้งที่เราพ่ายแพ้ และเหนื่อยล้ากับชีวิตเพราะเราสาละวนกับหลายๆสิ่งที่เราทำ เช่น มารธา เมื่อเธอสาละวนกับการปรนนิบัติ แม้จะเป็นการดี แต่สุดท้ายเธอก็เหนื่อยแล้วเธอก็บ่น อย่าลืมว่า...ชีวิตของเรานั้นมันเหมือนการวิ่งมาราธอน ต้องวิ่งและรักษาความสมดุลไม่เร่งแต่ตอนแรกๆ ขณะที่ยังมีกำลังอยู่อะไรๆก็ดูดีหมด แต่ลองหมดกำลังและเหนื่อยสิ อะไรๆก็อาจจะขัดหูขัดตาไปหมดแน่ๆ เช่น มารธา มองว่าสิ่งที่มารีย์ที่กำลังนั่งแทบพระบาทพระเยซูคริสต์เพื่อจะฟังถ้อยคำของพระเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยสมควรเท่าไร และก็ขัดหูขัดตาเธอจริงๆ
ฉะนั้น...วันนี้จงเข้ามา ไม่ว่าจะเรื่องของเราเป็นเรื่องอะไร พระเจ้าทรงรอฟังอยู่เสมอ อย่าอายเพราะพระเจ้าทรงทราบดีก่อนที่ลิ้นของเราจะพูดก่อนแล้ว
"ข้าแต่พระยาห์เวห์ แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว" (สดด.139:4)
จงตั้งเวลาเฉพาะที่อยู่กับพระเจ้า อย่าหาเวลาว่างก่อนค่อยจะเฝ้าเดี่ยว เพราะไม่มีวันที่จะหาเวลาว่างนั้นเจอเด็ดขาด และในแต่ละวัน พระเจ้าทรงรอที่จะคุยกับเราเสมอ การเฝ้าเดี่ยวเป็นกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าให้สนิทสนมแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
ลองคิดเถิด ... หากเป็นเราเองที่ต้องเอาแต่รอ รอให้ใครบางคนที่เรารักและอยากจะคุยด้วยนั้น ให้ว่างก่อนแล้วค่อยมาหา เราจะรู้สึกอย่างไร และเราจะรู้สึกอย่างไรเมื่อมีใครคนหนึ่งที่เรารักเขาได้ตั้งใจจะมาหาเราเสมอๆ แบบไหนละ...ทีเราชอบ?
และ...การเฝ้าเดี่ยว เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ร้องทูลเรื่องราวส่วนตัวกับพระเจ้า และวิงวอนเพื่อผู้อื่นด้วย เพื่อพระเจ้าจะทรงเมตตาเราและคนอื่นๆ
เราทูลขอในสิ่งที่จำเป็น และในสิ่งที่เราขาด เพราะว่าเรานั้นถูกสร้างมาอย่างจำกัด และที่เรามีอยู่ในขณะนี้นั้นก็ยังไม่พอ ฉะนั้น...เราจึงเข้ามาเพื่อจะทูลขอต่อพระเจ้า เพราะทรงสัญญาว่า "จงขอแล้วจะได้...จงหาแล้วจะพบ และจงเคาะแล้วจะเปิดให้" (มธ.7:7) อย่าลืมสิ...พระเจ้าของเราทรงเป็นแหล่งแห่งความอุดมสมบูรณ์ สิ่งที่เราขาดแคลนนั้น ในพระเจ้ามีอย่างบริบูรณ์และทรงพร้อมที่จะประทานให้กับทุกๆคนที่ขอต่อพระองค์ เพราะเราคือ "ลูก" มิใช่ "ลูกจ้าง" ที่ต้องทำก่อนค่อยได้รับ แต่จง...เข้ามาอ้อนวอนต่อพระเจ้า แล้วเราจะได้รับทุกสิ่งที่ขาดแคลนอยู่อย่างแน่นอน
"เหล่าสิงห์หนุ่มยังขาดแคลนและหิวโหย แต่ผู้ที่แสวงหาพระยาห์เวห์ไม่ขาดสิ่งดีใดๆ" (สดด.34:10)
อย่าลืม...นะ หากรักพระเจ้าจริงๆก็จงรักทั้งด้วยคำพูด ด้วยความจริง และแสดงออกผ่านการกระทำ อย่าแค่บอกว่ารักพระเจ้า แต่ไม่เคยจะมีเวลาส่วนตัวกับพระเจ้าเลย แล้วเราจะรู้จักจนกลายเป็นคนที่รู้ใจพระเจ้าได้อย่างไร ... ฉะนั้น จงเฝ้าเดี่ยว เพราะเป็นสถานที่ๆเดียวที่เราและพระเจ้าจะพบกันได้เสมอตลอดเวลาด้วย อย่าลืมสิ...พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ ทรงทำได้ทุกสิ่ง การเข้ามาหาพระเจ้า คือ การยอมให้พระเจ้าทรงทำทุกสิ่งในชีวิตของเราในสิ่งที่จำเป็น เกินกำลัง และขาดแคลนอยู่ เพราะพระเจ้าทรงสามารถทำให้สิ่งที่เป็นไปได้ กลับเป็นไปได้ทุกสิ่ง
พระเจ้าอวยพรครับ
"เป็นไปไม่ได้เลย ... ที่เราจะดำเนินชีวิตในโลกท่ามกลางกระแสกดดันต่างๆของโลกนี้ แล้วเราจะไม่พึ่งพากำลังฝ่ายวิญญาณ และหันไปอาศัยแต่กำลังเนื้อหนังฝ่ายเดียว"
จึงจำเป็นมากๆที่เราต้องเข้าหาพระเจ้า
"เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ขัดแย้งกับเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ" (กท.5:17)
เคยไหม...ที่บางที สิ่งดีมากมายที่เราตั้งใจอยากจะทำ แต่พอถึงเวลากลับทำไม่ได้ เพราะว่าในตัวของเรานั้นมีธรรมชาติของเนื้อหนังอยู่ ... หลายๆครั้งเราเลือกจะทำสิ่งที่ถูกใจมากกว่าสิ่งที่ถูกต้องเสมอ
"คือว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ก็ไม่ได้ทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาทำ ก็ยังทำอยู่ ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้ทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ" (รม.7:19-20)
แม้ว่าเราจะรู้ว่าอะไรบาป อะไรดี เราได้เรียนรู้ว่าสิ่งใดควรทำและสิ่งใดไม่ควรทำ เรารู้ดี...ทุกสิ่ง อาจจะด้วยเหตุผลหลายๆประการที่เราเผลอทำสิ่งไม่ดีนั้น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ... แน่นอนเราทุกคนอยากจะทำดีมากกว่าทำชั่ว แต่...บางทีก็ยากที่จะทำจริงๆ
"โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้? ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้" (รม.7:24)
ด้วยเหตุนี้...เราจำเป็นต้องเข้ามาพึ่งพาพระวิญญาณฯให้มากๆ ผ่านการเฝ้าเดี่ยว เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเผชิญสิ่งสารพัดในโลกโดยปราศจากการพึ่งพาพระวิญญาณฯผ่านการเฝ้าเดี่ยว
การเฝ้าเดี่ยว ไม่ใช่โปรแกรมๆหนึ่งของชีวิต หากแต่เป็นส่วนหนึ่งและเป็นส่วนสำคัญของชีวิตของเรา และการเฝ้าเดี่ยวเป็นรากฐานที่สำคัญมากของชีวิตในการเดินกับพระเจ้าในแต่ละวัน พระเยซูคริสต์แม้จะทรงเป็นพระเจ้าในสภาพของมนุษย์ พระองค์ก็ทรงให้ความสำคัญของการเฝ้าเดี่ยวเสมอ
"ในเวลาเช้ามืดพระองค์ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่สงบ และทรงอธิษฐานที่นั่น" (มก.1:35)
พระเยซูคริสต์ทรงมีโปรแกรมมากมายในแต่ละวัน แต่พระองค์ก็ทรงให้ความสำคัญกับการเฝ้าเดี่ยวมาก เพราะทรงรู้ว่า หากปราศจากการเฝ้าเดี่ยวก็อาจจะอ่อนกำลังได้ เพราะการเฝ้าเดี่ยว เป็นการเอาชีวิตของเราไปต่อสนิทกับพระเจ้า
และการเฝ้าเดี่ยวนั้น...เป็นการบ่งบอกว่า ไม่มีอะไรที่สำคัญที่สุดนอกจากเรื่องระหว่างเรากับพระเจ้าเท่านั้น ฉะนั้น เราต้องหาที่สงบ เพื่อให้จิตใจสงบ เอาทุกสิ่งที่เรากังวลหรือสิ่งที่เราอยากจะทำนั้นวางไว้ที่แท่นบูชา เอาเวลาคิดถึงแต่ความงดงามของพระเจ้า
"จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย จงตื่นเถิด พิณใหญ่และพิณเขาคู่เอ๋ย จงตื่นเถิด ข้าพเจ้าจะปลุกอรุณ ข้าแต่องค์เจ้านาย ข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระองค์ท่ามกลางชาวประเทศทั้งหลาย" (สดด.57:8-9)
"เพราะวันเดียวในบริเวณพระนิเวศของพระองค์ดีกว่าพันวันในที่อื่น ข้าพเจ้าจะขอเป็นคนเฝ้าประตูพระนิเวศพระเจ้าของข้าพเจ้า ดีกว่าอยู่ในเต็นท์ของความอธรรม" (สดด.84:10)
หลายๆครั้งที่เราพ่ายแพ้ และเหนื่อยล้ากับชีวิตเพราะเราสาละวนกับหลายๆสิ่งที่เราทำ เช่น มารธา เมื่อเธอสาละวนกับการปรนนิบัติ แม้จะเป็นการดี แต่สุดท้ายเธอก็เหนื่อยแล้วเธอก็บ่น อย่าลืมว่า...ชีวิตของเรานั้นมันเหมือนการวิ่งมาราธอน ต้องวิ่งและรักษาความสมดุลไม่เร่งแต่ตอนแรกๆ ขณะที่ยังมีกำลังอยู่อะไรๆก็ดูดีหมด แต่ลองหมดกำลังและเหนื่อยสิ อะไรๆก็อาจจะขัดหูขัดตาไปหมดแน่ๆ เช่น มารธา มองว่าสิ่งที่มารีย์ที่กำลังนั่งแทบพระบาทพระเยซูคริสต์เพื่อจะฟังถ้อยคำของพระเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยสมควรเท่าไร และก็ขัดหูขัดตาเธอจริงๆ
ฉะนั้น...วันนี้จงเข้ามา ไม่ว่าจะเรื่องของเราเป็นเรื่องอะไร พระเจ้าทรงรอฟังอยู่เสมอ อย่าอายเพราะพระเจ้าทรงทราบดีก่อนที่ลิ้นของเราจะพูดก่อนแล้ว
"ข้าแต่พระยาห์เวห์ แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว" (สดด.139:4)
จงตั้งเวลาเฉพาะที่อยู่กับพระเจ้า อย่าหาเวลาว่างก่อนค่อยจะเฝ้าเดี่ยว เพราะไม่มีวันที่จะหาเวลาว่างนั้นเจอเด็ดขาด และในแต่ละวัน พระเจ้าทรงรอที่จะคุยกับเราเสมอ การเฝ้าเดี่ยวเป็นกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าให้สนิทสนมแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
ลองคิดเถิด ... หากเป็นเราเองที่ต้องเอาแต่รอ รอให้ใครบางคนที่เรารักและอยากจะคุยด้วยนั้น ให้ว่างก่อนแล้วค่อยมาหา เราจะรู้สึกอย่างไร และเราจะรู้สึกอย่างไรเมื่อมีใครคนหนึ่งที่เรารักเขาได้ตั้งใจจะมาหาเราเสมอๆ แบบไหนละ...ทีเราชอบ?
และ...การเฝ้าเดี่ยว เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ร้องทูลเรื่องราวส่วนตัวกับพระเจ้า และวิงวอนเพื่อผู้อื่นด้วย เพื่อพระเจ้าจะทรงเมตตาเราและคนอื่นๆ
เราทูลขอในสิ่งที่จำเป็น และในสิ่งที่เราขาด เพราะว่าเรานั้นถูกสร้างมาอย่างจำกัด และที่เรามีอยู่ในขณะนี้นั้นก็ยังไม่พอ ฉะนั้น...เราจึงเข้ามาเพื่อจะทูลขอต่อพระเจ้า เพราะทรงสัญญาว่า "จงขอแล้วจะได้...จงหาแล้วจะพบ และจงเคาะแล้วจะเปิดให้" (มธ.7:7) อย่าลืมสิ...พระเจ้าของเราทรงเป็นแหล่งแห่งความอุดมสมบูรณ์ สิ่งที่เราขาดแคลนนั้น ในพระเจ้ามีอย่างบริบูรณ์และทรงพร้อมที่จะประทานให้กับทุกๆคนที่ขอต่อพระองค์ เพราะเราคือ "ลูก" มิใช่ "ลูกจ้าง" ที่ต้องทำก่อนค่อยได้รับ แต่จง...เข้ามาอ้อนวอนต่อพระเจ้า แล้วเราจะได้รับทุกสิ่งที่ขาดแคลนอยู่อย่างแน่นอน
"เหล่าสิงห์หนุ่มยังขาดแคลนและหิวโหย แต่ผู้ที่แสวงหาพระยาห์เวห์ไม่ขาดสิ่งดีใดๆ" (สดด.34:10)
อย่าลืม...นะ หากรักพระเจ้าจริงๆก็จงรักทั้งด้วยคำพูด ด้วยความจริง และแสดงออกผ่านการกระทำ อย่าแค่บอกว่ารักพระเจ้า แต่ไม่เคยจะมีเวลาส่วนตัวกับพระเจ้าเลย แล้วเราจะรู้จักจนกลายเป็นคนที่รู้ใจพระเจ้าได้อย่างไร ... ฉะนั้น จงเฝ้าเดี่ยว เพราะเป็นสถานที่ๆเดียวที่เราและพระเจ้าจะพบกันได้เสมอตลอดเวลาด้วย อย่าลืมสิ...พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ ทรงทำได้ทุกสิ่ง การเข้ามาหาพระเจ้า คือ การยอมให้พระเจ้าทรงทำทุกสิ่งในชีวิตของเราในสิ่งที่จำเป็น เกินกำลัง และขาดแคลนอยู่ เพราะพระเจ้าทรงสามารถทำให้สิ่งที่เป็นไปได้ กลับเป็นไปได้ทุกสิ่ง
พระเจ้าอวยพรครับ
วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556
โปรดอธิษฐานเดี๋ยวนี้ แล้วพระเยซูคริสต์ก็จะเสด็จเข้ามาประทับในชีวิตของท่าน
"ข้าแต่พระพระเยซูคริสต์เจ้า ข้าพเจ้าปราถนาพระองค์ด้วยสุดใจ ข้าพเจ้าขอเปิดประตูชีวิต ต้อนรับเอาพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ขอขอบพระคุณพระองค์ ที่ทรงประทานอภัยโทษความผิดบาปให้แก่ข้าพเจ้า โปรดครอบครองบัลลังก์ชีวิตของข้าพเจ้า และนำให้ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด อาเมน"
วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556
ฉันคิดถึงเธอแมนดี้
ถึง แมนดี้ ฮ็อกเบน
ฉันขอโทษนะแมนดี้ที่ไม่รู้นามสกุลใหม่ของเธอ
ฉันพยายามค้นหาเธอจนทั่วไปหมด
ตลอดระยะเวลาหลายๆ ปีนี้
และจะไม่มีใครหน้าไหนมาห้ามฉันไม่ให้ตามหาเธอ
ฉันคิดถึงเธอเสมอนะแมนดี้ทุกนาทีของทุกวัน ทุก ๆ วัน ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ฉันยังรู้สึกว่าเธออยู่ใกล้ ๆ ฉันตลอดเวลา
เหมือนที่เธอเคยทำ
ฉันต้องการพูดกับเธอมากคิดถึงเธอมากที่สุด
การได้พูดกับเธออีก มันอาจจะทำให้ความเจ็บปวดหายไปบ้าง
ได้โปรดเถอะแมนดี้ โทรหาฉันด้วย
074-276-14501
จาก "พ่อของเธอ"
ฉันขอโทษนะแมนดี้ที่ไม่รู้นามสกุลใหม่ของเธอ
ฉันพยายามค้นหาเธอจนทั่วไปหมด
ตลอดระยะเวลาหลายๆ ปีนี้
และจะไม่มีใครหน้าไหนมาห้ามฉันไม่ให้ตามหาเธอ
ฉันคิดถึงเธอเสมอนะแมนดี้ทุกนาทีของทุกวัน ทุก ๆ วัน ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ฉันยังรู้สึกว่าเธออยู่ใกล้ ๆ ฉันตลอดเวลา
เหมือนที่เธอเคยทำ
ฉันต้องการพูดกับเธอมากคิดถึงเธอมากที่สุด
การได้พูดกับเธออีก มันอาจจะทำให้ความเจ็บปวดหายไปบ้าง
ได้โปรดเถอะแมนดี้ โทรหาฉันด้วย
074-276-14501
จาก "พ่อของเธอ"
วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
just be there. Stay.
A nurse took the tired, anxious serviceman to the bedside. “Your son is here,” she said to the old man. She had to repeat the words several times before the patient’s eyes opened.
Heavily sedated because of the pain of his heart attack, he dimly saw the young uniformed Marine standing outside the oxygen tent. He reached out his hand. The Marine wrapped his toughened fingers around the old man’s limp ones, squeezing a message of love and encouragement.
The nurse brought a chair so that the Marine could sit beside the bed. All through the night the young Marine sat there in the poorly lighted ward, holding the old man’s hand and offering him words of love and strength. Occasionally, the nurse suggested that the Marine move away and rest awhile. He refused.
Whenever the nurse came into the ward, the Marine was oblivious of her and of the night noises of the hospital - the clanking of the oxygen tank, the laughter of the night staff members exchanging greetings, the cries and moans of the other patients. Now and then she heard him say a few gentle words. The dying man said nothing, only held tightly to his son all through the night.
Along towards dawn, the old man died. The Marine released the now lifeless hand he had been holding and went to tell the nurse. While she did what she had to do, he waited.
Finally, she returned. She started to offer words of sympathy, but the Marine interrupted her, “Who was that man?” he asked.
The nurse was startled, “He was your father,” she answered.
“No, he wasn’t,” the Marine replied. “I never saw him before in my life.”
“Then why didn’t you say something when I took you to him?”
“I knew right away there had been a mistake, but I also knew he needed his son, and his son just wasn’t here. When I realized that he was too sick to tell whether or not I was his son, knowing how much he needed me, I stayed. I came here tonight to find a Mr. William Grey. His Son was killed in Iraq today, and I was sent to inform him. What was this Gentleman’s Name? “
The nurse with tears in her eyes answered, “Mr. William Grey………”
The next time someone needs you … just be there. Stay.
GOD BLESS U whoever u are
Firefighter David Tree shares his water with an injured Australian Koala baby at Mirboo North after wildfires swept through Australia's Victoria state.
"It was amazing, he turned around, sat on his bum and sort of looked at me with a look like, put me out of my misery," Tree told. "I yelled out for a bottle of water. I unscrewed the bottle, tipped it up on his lips and he just took it naturally. He kept reaching for the bottle, almost like a baby."
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
พระองค์ก็เลยสร้าง .......นักการเมืองไทยขึ้นมา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
เมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลก
พระองค์มีถุงหนังใบใหญ่เอาไว้ใส่ ของวิเศษต่างๆมากมาย
พระองค์เริ่มต้นด้วยการ สร้างมหาสมุทร ทั้ง7
โดยหลักของการวางของวิเศษ พระองค์จะต้องวางทั้ง
ของดีและของไม่ดี คู่กันไป
เพื่อไม่ให้ประเทศหนึ่งประเทศใด
สมบูรณ์ไปกว่าประเทศอื่นๆ ...
ทรง เอาเทือกเขาร็อกกี้ น้ำตกไนแองการ่า วางไว้ให้อเมริกา
แล้วก็เอาทะเลทรายอริโซน่า กับพายุทอนาโดวางไว้ด้วย
เอาป่าอเมซอน วางไว้ให้บราซิล ทรงเอาไข้ป่า วางไว้ให้ด้วย
เอาขั้วแม่เหล็กโลก วางไว้ให้แคนาดา
แต่ก็ทรงเอาความหนาวเย็นวางไว้ให้
เอาเทือกเขาหิมาลัย
ให้ธิเบตกับเนปาล เพื่อเป็นปราการกั้นข้าศึก
แต่ก็เอาความเบาบางของอากาศ และความแห้งแล้งไว้ให้
ทุกประเทศจะได้ของคู่กันแบบนี้ ทั้งหมด
.....จึงไม่มีประเทศใดน้อยหน้ากว่ากัน
คราวนี้ พระองค์ทรงลืมประเทศ รูปขวานเล็กๆ ทางแหลมอินโดจีน
ทรงสะพายถุงวิเศษ แล้วก้าวข้ามเขาหิมาลัยไป
แต่ด้วยความที่เขาสูงชันมาก เทือกเขาได้เกี่ยวถุงของพระเจ้าขาด
ข้าวของที่ดีๆ ที่เตรียมเอาไว้ให้ประเทศอื่นๆ
เช่น ชายหาดสวยๆ ผืนดินอุดมสมบูรณ์
ศิลปะวัฒนธรรมดีๆ อาหารอร่อยที่สุดในโลก
ดอกไม้ ผลไม้ ชายทะเล ก็เทไปกองรวมกันที่
--- ประเทศไทยหมด ---
ว้า !! แย่แล้ว พระเจ้า ทรงคิดว่า ประเทศนี้
ท่าทางต้องเจริญกว่าประเทศอื่นๆ ทั้งหมดแน่นอน
พระเจ้าทรงมองหาภัยธรรมชาติที่จะมาถ่วงดุล แต่สายเสียแล้ว
พระองค์ทรงเอาภูเขาไฟ กับแผ่นดินไหว ให้ญี่ปุ่นไปแล้ว
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ ประเทศอื่นๆ
จะมาฟ้องร้องพระองค์ได้ว่า พระองค์ไม่ยุติธรรม
จะ มีภัยธรรมชาติอันใดหนอที่ จะทำให้ประเทศไทยไม่เจริญกว่า
ประเทศอื่นๆได้ เมื่อทรงคิดได้ เพื่อเป็นการป้องกัน
ประเทศอันสมบูรณ์ที่สุดในโลกนี้ ไม่ให้เจริญล้ำไปกว่า ที่อื่นๆ
พระองค์ก็เลยสร้าง .......นักการเมืองไทยขึ้นมา
ถ้ามีนักการเมืองไทยอยู่ล่ะก็ ต่อให้สมบูรณ์แค่ไหน
ไทยก็ไม่มีวันเจริญ......
เมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลก
พระองค์มีถุงหนังใบใหญ่เอาไว้ใส่ ของวิเศษต่างๆมากมาย
พระองค์เริ่มต้นด้วยการ สร้างมหาสมุทร ทั้ง7
โดยหลักของการวางของวิเศษ พระองค์จะต้องวางทั้ง
ของดีและของไม่ดี คู่กันไป
เพื่อไม่ให้ประเทศหนึ่งประเทศใด
สมบูรณ์ไปกว่าประเทศอื่นๆ ...
ทรง เอาเทือกเขาร็อกกี้ น้ำตกไนแองการ่า วางไว้ให้อเมริกา
แล้วก็เอาทะเลทรายอริโซน่า กับพายุทอนาโดวางไว้ด้วย
เอาป่าอเมซอน วางไว้ให้บราซิล ทรงเอาไข้ป่า วางไว้ให้ด้วย
เอาขั้วแม่เหล็กโลก วางไว้ให้แคนาดา
แต่ก็ทรงเอาความหนาวเย็นวางไว้ให้
เอาเทือกเขาหิมาลัย
ให้ธิเบตกับเนปาล เพื่อเป็นปราการกั้นข้าศึก
แต่ก็เอาความเบาบางของอากาศ และความแห้งแล้งไว้ให้
ทุกประเทศจะได้ของคู่กันแบบนี้ ทั้งหมด
.....จึงไม่มีประเทศใดน้อยหน้ากว่ากัน
คราวนี้ พระองค์ทรงลืมประเทศ รูปขวานเล็กๆ ทางแหลมอินโดจีน
ทรงสะพายถุงวิเศษ แล้วก้าวข้ามเขาหิมาลัยไป
แต่ด้วยความที่เขาสูงชันมาก เทือกเขาได้เกี่ยวถุงของพระเจ้าขาด
ข้าวของที่ดีๆ ที่เตรียมเอาไว้ให้ประเทศอื่นๆ
เช่น ชายหาดสวยๆ ผืนดินอุดมสมบูรณ์
ศิลปะวัฒนธรรมดีๆ อาหารอร่อยที่สุดในโลก
ดอกไม้ ผลไม้ ชายทะเล ก็เทไปกองรวมกันที่
--- ประเทศไทยหมด ---
ว้า !! แย่แล้ว พระเจ้า ทรงคิดว่า ประเทศนี้
ท่าทางต้องเจริญกว่าประเทศอื่นๆ ทั้งหมดแน่นอน
พระเจ้าทรงมองหาภัยธรรมชาติที่จะมาถ่วงดุล แต่สายเสียแล้ว
พระองค์ทรงเอาภูเขาไฟ กับแผ่นดินไหว ให้ญี่ปุ่นไปแล้ว
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ ประเทศอื่นๆ
จะมาฟ้องร้องพระองค์ได้ว่า พระองค์ไม่ยุติธรรม
จะ มีภัยธรรมชาติอันใดหนอที่ จะทำให้ประเทศไทยไม่เจริญกว่า
ประเทศอื่นๆได้ เมื่อทรงคิดได้ เพื่อเป็นการป้องกัน
ประเทศอันสมบูรณ์ที่สุดในโลกนี้ ไม่ให้เจริญล้ำไปกว่า ที่อื่นๆ
พระองค์ก็เลยสร้าง .......นักการเมืองไทยขึ้นมา
ถ้ามีนักการเมืองไทยอยู่ล่ะก็ ต่อให้สมบูรณ์แค่ไหน
ไทยก็ไม่มีวันเจริญ......
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
Two Horses
Author Unknown
Just up the road from my home is a field, with two horses in it. From a distance, each horse looks like any other horse. But if you get a closer look you will notice something quite interesting... One of the horses is blind. His owner has chosen not to have him put down, but has made him a safe and comfortable barn to live in. This alone is pretty amazing. But if you stand nearby and listen, you will hear the sound of a bell. It is coming from a smaller horse in the field. Attached to the horse's halter is a small, copper-colored bell. It lets the blind friend know where the other horse is, so he can follow. As you stand and watch these two friends you'll see that the horse with the bell is always checking on the blind horse, and that the blind horse will listen for the bell and then slowly walk to where the other horse is, trusting he will not be led astray. When the horse with the bell returns to the shelter of the barn each evening, he will stop occasionally to look back, making sure that the blind friend isn't too far behind to hear the bell. Like the owners of these two horses, God does not throw us away just because we are not perfect. Or because we have problems or challenges. He watches over us and even brings others into our lives to help us when we are in need. Sometimes we are the blind horse, being guided by the little ringing bell of those who God places in our lives. And at other times we are the guide horse, helping others to find their way.
Just up the road from my home is a field, with two horses in it. From a distance, each horse looks like any other horse. But if you get a closer look you will notice something quite interesting... One of the horses is blind. His owner has chosen not to have him put down, but has made him a safe and comfortable barn to live in. This alone is pretty amazing. But if you stand nearby and listen, you will hear the sound of a bell. It is coming from a smaller horse in the field. Attached to the horse's halter is a small, copper-colored bell. It lets the blind friend know where the other horse is, so he can follow. As you stand and watch these two friends you'll see that the horse with the bell is always checking on the blind horse, and that the blind horse will listen for the bell and then slowly walk to where the other horse is, trusting he will not be led astray. When the horse with the bell returns to the shelter of the barn each evening, he will stop occasionally to look back, making sure that the blind friend isn't too far behind to hear the bell. Like the owners of these two horses, God does not throw us away just because we are not perfect. Or because we have problems or challenges. He watches over us and even brings others into our lives to help us when we are in need. Sometimes we are the blind horse, being guided by the little ringing bell of those who God places in our lives. And at other times we are the guide horse, helping others to find their way.
คุณถูกทดสอบอยู่เสมอ
ตอบสนองต่อปัญหาที่เจอ ...ตกงาน ความเจ็บป่วย ลมฟ้าอากาศที่แปรปวน...
ตอบสนองต่อคนรอบข้าง ... ความขัดแย้ง การนินทา การถูกข่มเหง เจ้านายตำหนิ คนรักบอกเลิก กระเป๋ารถเมล์แสดงกริยาไม่ดี ลูกไม่เชื่อฟัง โดนขับรถปาดหน้า ....
ตอบสนองต่อความสำเร็จ ... ได้รางวัลการทำงานดี ลูกน้องรัก ชนะการแข่งฟุตบอล...
ตอบสนองต่อเรื่องอื่นๆ อีกมากมายในชีวิต ...การช่วยเหลือคนอื่นๆ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย อารมณ์เมื่อเผชิญสภาวะต่างๆที่เข้ามา...
การตอบสนองการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้คือ การทดสอบคุณ!
พระเจ้าทรงทดสอบอุปนิสัย ความเชื่อ การเชื่อฟัง ความรัก การสัตย์ซื่อ
เราไม่สามารถรู้ถึงการทดสอบทุกอย่างที่พระเจ้าจะประทานให้ แต่สามารถคาดเดาการทดสอบบางอย่างได้จากพระคัมภีร์ ... คุณจะถูกทดสอบโดยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ๆ เช่น พระสัญญาที่ล่าช้า ปัญหาที่แก้ไม่ตก คำอธิษฐานที่ไม่ได้รับคำตอบ คำตำหนิที่ไม่สมควรจะได้รับ หรือแม้แต่โศกนาฎกรรมทีดูเหมือนไม่มีเหตุผล
ข่าวดีก็คือพระเจ้าต้องการให้คุณผ่านการทดสอบในชีวิต ดังนั้นพระองค์จึงไม่เคยปล่อยคุณต้องเผชิญการทดสอบที่ใหญ่เกินกว่าพระคุณที่พระองค์ประทานให้
1คร 10:13 ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้
ทุกครั้งที่คุณผ่านการทดสอบ พระเจ้าทรงเห็น และจะประทานบำเหน็จแก่คุณ แน่นอน!!!!
วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556
พระเจ้าทรงเป็นสหายของท่านแล้ว
บางคนอยู่อย่างโดดเดี่ยว มีชีวิตอยู่ตามสบาย
ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนอะไรเลย เพราะไม่มีใครคาดหวังอะไรกับเขา
ท่านอาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ หรือท่านอาจจะเป็นเช่นนั้นเวลานี้ก็ได้
ท่านคาดว่าหลายคนจะมาเยือน แต่ไม่มีใครมาสนใจ
หรือหากว่ามีใครมาจริง ๆ ก็ยังอีกหลายเวลาที่ท่านอยู่ตามลำพัง
ท่านรู้สึกเจ็บปวดเมื่ออยู่ตามลำพังเป็นความเจ็บปวดเช่นเดียวกับโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้น
หรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำไป
แต่พระเจ้าทรงเข้าใจความเจ็บปวดเหล่านี้
และทรงห่วงใยท่านทรงปรารถนาจะช่วยท่านท่ามกลางความอ้างว้างของท่าน
ทรงปรารถนาให้ท่านรู้จักพระองค์ในฐานะพระสหาย
ท่านอาจมีความอ้างว้างที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ แต่ถ้าหากพระเจ้าทรงเป็นสหายของท่านแล้ว
ท่านจะไม่มีวันอ้างว้างโดดเดี่ยวอีกต่อไป
เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่านเสมอ
วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
ขอบคุณพระองค์ที่ได้จัดสรร จัดเตรียม และเปิดใจ
Thank you, God |
เป็นเครื่องมือในการประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์
ขอพระองค์นั้นทรงแสดงความอัศจรรย์ เกิดแก่พวกเขาเหล่านั้น
เพื่อให้เขานั้นได้เห็น เชื่อ และศรัทธาในพระองค์
โอ้ พระองค์ผู้ทรงสิริ ทรงสติปัญญา ทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย
พระบิดาเจ้าผู้ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ทรงมองลึกเข้าไปในจิตใจของข้าพระองค์
ขอให้พระองค์ทรงอวยพระพรให้แก่ข้าพระองค์
อธิฐานและขอบคุณในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน
วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
The Stairs
Author Unknown
Oh long and dark the stairs I trod,
with stumbling feet to find my God,
Gaining a foothold bit by bit
Then slipping back and losing it.
There came a certain time when I
Loosened my hold and fell thereby,
Down to the lowest step my fall
As if I had not climbed at all.
And as I lay despairing there,
there came a footfall on the stairs
And 'lo' when hope had ceased to be
My God came down the stairs to me.
วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
I am a Stroke Survivor!!
It was probably one of the scariest things that could ever happen to somebody. I had just turned 57 years old. Out of my bad habit, drinking [ I had been suffering with high blood pressure for over 5 years and I drank a lot, I stopped taking my medication because I thought my blood pressure had been normal for a while, why should I kept taking a tiny pill everyday-- Out of my stupidity--it happened! I was falling on to the floor while trying to pick up my eye- glasses which had dropped on the floor inside my office,
วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556
ทุกปัญหามีทางออก ใช้ชีวิตอย่างมีสติ
เมื่อต้นปี 2009 มีภาพยนตร์โฆษณาชิ้นหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขวัญจากผู้ชมเป็นจำนวนมากและได้รับรางวัลสื่อมวลชนดีเด่นประจำปี พ.ศ. 2552 ประเภทโฆษณา (Catholic Media Award 2009)
เป็นเรื่องของครอบครัวหนึ่งที่ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ภาพเริ่มจับที่พ่อกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ขณะที่ลูกชายวัยประมาณ 5 ขวบกำลังเล่นต่อไม้รูปทรงต่างๆ อยู่บนพื้นห้อง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พ่อเดินไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล...ว่าไงนะ ...โครงการล้ม...แล้วของที่ลงไปแล้วละ...”
“หมดกัน...สร้างมากับมือ” พ่อทรุดตัวลงหัวใจสลายเพราะธุรกิจที่ทำอยู่พังพินาศไปในชั่วพริบตา ความทุกข์ที่บีบคั้น ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ลูกชายก็ยังเล็กจะอยู่ได้อย่างไร พ่อเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานเพื่อจะหยิบอาวุธหวังจบชีวิตทั้งพ่อทั้งลูก
“โครม!” ตัวต่อไม้ที่ลูกชายกำลังก่อสร้างอยู่นั่นพังครืนลงมา
“หมดกัน...สร้างมากับมือ” ลูกอุทานออกมาด้วยประโยคเดียวกันกับพ่อ เด็กชายคงรู้สึกว่าสิ่งที่พยายามทำมายาวนานนั้นมันพังลงมาเพียงแค่พริบตาเช่นกัน เด็กชายฟุบหน้าลงกับฝ่ามือ
“ไม่เป็นไร สร้างใหม่ก็ได้...” เด็กชายเงยหน้าขึ้นด้วยแววตามุ่งมั่น คำพูดสั้นๆ ของเขา ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องหยุดคิด “ใช่..ไม่เป็นไร สร้างใหม่ก็ได้”
“ทุกปัญหามีทางออก ใช้ชีวิตอย่างมีสติ...ยาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว”
เบื้องหลังโฆษณายาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว
คุณสุวรรณา อัครพงศ์พิศักดิ์ ทายาทรุ่นลูกของธุรกิจเซียงเพียวอิ๊ว และผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่มวัยรุ่นภายใต้แบรนด์ เปปเปอร์มินท์ฟิว ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เล่าถึงสปอร์ตโฆษณาชุด “ทุกปัญหามีทางออก ใช้ชีวิตอย่างมีสติ” ว่า เธอได้รับแรงบันดาลใจจากการเข้าชั้นศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ในวันพฤหัสที่คริสตจักร Church of Joy (คริสตจักรแห่งความสุข) สอนโดย ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ วันนั้นท่านสอนพระธรรมปฐมกาล และได้โยงไปเรื่องความรัก หลายครั้งที่คนเรารักผิด รักไม่เป็น รักแบบไม่เข้าใจ พอดีกับช่วงนั้นประเทศชาติกำลังประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ บริษัทหลายแห่งต้องปิดตัวลง คนทำธุรกิจหลายคนประสบปัญหามากมาย พอธุรกิจล้มไม่มีงาน ไม่มีเงิน แต่ด้วยความรักลูกและครอบครัว จึงคิดสรุปเอาเองว่าพวกเขาจะอยู่ต่อไปไม่ได้แน่ ถ้าอย่างนั้นควรจะตายไปพร้อมกันดีกว่า ดังที่เรา พบเห็นได้จากข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ที่ว่า ธุรกิจล้ม เจ้าของฆ่าลูกๆ ภรรยา และฆ่าตัวตายตาม ซึ่งนำความเศร้าสลดใจต่อผู้อ่านเป็นอย่างมาก การกระทำเหล่านี้เป็นการแสดงความรักที่ไม่ถูกต้อง ตอนนั้นเองทำให้คุณสุวรรณาคิดถึง “อากง” ของเธอ ซึ่งภาพของท่านปรากฏเป็นโลโก้บนกล่องผลิตภัณฑ์เซียงเพียวอิ้ว เธอคิดว่าในยามที่ประเทศชาติเจอปัญหา ประชาชนหัวเราะไม่ออก “อากง” อยากจะพูดอะไรกับคนไทยในวันนี้บ้าง จึงเกิดเป็นความคิดที่ว่า “อากง” น่าจะให้คำเตือนสติ ให้ได้คิดว่า “ทุกปัญหามีทางออก” ก็เลยนำความคิดนี้มาบอกกับทีมงานเพื่อช่วยกันระดมสมองและกลายมาเป็นโฆษณาชุด “ทุกปัญหามีทางออก ใช้ชีวิตอย่างมีสติ”
เบื้องหลังชีวิตผู้คิดโฆษณายาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว
กว่าจะมาเป็นสุวรรณาในวันนี้ ใครจะรู้ว่าหญิงแกร่งมากความสามารถคนนี้เคยเฉียดความตายมาแล้ว ย้อนไปเมื่อครั้งเรียนในระดับอุดมศึกษา คุณสุวรรณาสอบเข้าเรียนต่อได้ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้รับการยกเว้นไม่ต้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน จึงมีชั่วโมงว่างมาก เมื่อว่างมากก็เที่ยวมาก เรียนไปได้ 6 เดือนผลสอบออกมาคะแนนต่ำมาก ช่วงนั้นพี่สาวคนโตของคุณสุวรรณาเพิ่งจบปริญญาตรีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกำลังจะไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา คุณแม่จึงขอให้พาเธอไปด้วย คุณสุวรรณาจึงได้ไปเรียนที่ Oregon State เรียนระดับปริญญาตรี ช่วงที่เรียนปี 1 – ปี 3 คุณสุวรรณาก็ยังคงเที่ยวเล่นกินดื่มเหมือนเดิม แต่ก็พยายามทำเกรดให้ดีๆ เพื่อแม่จะภูมิใจและมีอะไรไปคุยกับคนอื่นได้บ้าง เรียกว่าเรียนเพื่อรักษาหน้าแม่เท่านั้น ในใจจริงแล้วไม่รู้ว่าเรียนไปเพื่ออะไร และไม่ชอบเรียนหนังสือ
ตอนที่คุณสุวรรณาเข้าพักในหอพักของมหาวิทยาลัย เธอได้เพื่อนร่วมห้องที่เป็นคริสเตียน...เป็นคนชาติอเมริกัน ชื่อ เดนเนท Dennette เป็นคนอเมริกัน สิ่งที่เพื่อนคนนี้ทำเป็นประจำคือ ก่อนนอนทุกวันเธอจะคุกเข่าก้มหัวอธิษฐานที่ปลายเตียงเหมือนในรูปที่เราเห็นกันชินตา สุวรรณารู้สึกว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนที่มีจิตใจดีมาก ยิ่งเวลาที่พ่อแม่และน้องชายมาเยี่ยมเดนเนท พวกเขาจะร้องเพลงและเล่นกีตาร์กัน ช่างเป็นภาพที่สวยงาม อบอุ่นและมีความสุขมาก เป็นความอบอุ่นที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทอง ทำให้คุณสุวรรณาสงสัยว่าพวกเขาไม่ได้ร่ำรวย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจบไปแล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับเธอแล้วเธอมีงานมีอนาคตที่ดีรออยู่ แต่ทำไมพวกเขาจึงดูมีความสุขจริงๆ เพื่อนเริ่มชวนเธอไปปาร์ตี้ที่บ้านคริสเตียน ซึ่งเธอชอบมากเพราะเป็นคนที่ชอบพูดคุย ชอบมีเพื่อน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายในเรื่องความเชื่อของคริสเตียนหรือเรื่องพระเจ้า
คุณสุวรรณาเล่าให้ฟังว่า เธอชอบไปงานปาร์ตี้มากๆ ไปบ่อย และดื่มหนัก เธอจำได้ไม่ลืมว่า วันหนึ่งมีการแข่งขันดื่มเบียร์กระป๋องโดยจะต้องดื่มให้ได้มากและเร็วที่สุด เธอจึงใช้วิธีที่เคยดูมาจากในภาพยนต์ คือเอาดินสอเจาะเป็นรูแล้วเอานิ้วกดปิดเอาไว้ ให้มันอัดแน่นๆ พอเปิดออกมามันจะพุ่งแรงและเร็ว เธอดื่มไปได้ 2 กระป๋อง ก็ล้มลงและหายใจไม่ออก เธอไม่สบายมากต้องนอนอยู่ที่หอพักออกไปไหนไม่ได้
ยิ่งกว่านั้น ในวันรุ่งขึ้นคุณสุวรรณาก็ต้องเจอกับอีสุกอีใสที่แวะมาเยี่ยมเยียนในวัยและเวลาที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง การเป็นอีสุกอีใสตอนโตจะเจ็บปวดทรมานมาก จนเธอเดิน นอนไม่ได้ แต่ก็ได้เดนเนทคอยหาอาหารมาให้ที่หอพัก ช่วงนั้นหิมะตกหนัก บรรยากาศเงียบมาก ไม่มีใครเลยต้องอยู่แต่ในห้อง ออกไปไหนก็ไม่ได้ ทำให้เธอนอนคิดทบทวนว่าตนเองทำอะไรลงไป ถ้าหากแม่รู้เข้าจะเสียใจแค่ไหน พ่อแม่ส่งให้มาเรียนถึงอเมริกาก็ยังเกเร ถ้าหากเป็นอะไรไปแม่จะต้องตายตามเธอไปแน่ๆ ตอนนั้นเธอคิดเลยเถิดไปว่าชีวิตตนเองเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อเรียนหนังสือ และกลับไปทำงานเป็นเจ้าคนนายคนอย่างนั้นหรือ คนเราเกิดมาทำไมกันแน่
คุณสุวรรณาคิดวนเวียนอยู่ในใจเช่นนี้ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่เธอนอนป่วยอยู่ พอหายก็ขี่จักรยานไปเรียนหนังสือ ซึ่งเธอจำได้แม่นยำว่าวันนั้นหิมะตกหนัก จนเพื่อนๆ มาเรียนไม่ได้ ในห้องเรียนมีเพียง “แมรี่” คนเดียว แมรี่เป็นคนที่เชยมาก คุณสุวรรณาไม่ชอบและไม่คิดที่จะคุยด้วยเพราะรู้สึกว่าคุยแล้วน่ารำคาญ พูดกันคนละเรื่อง วันนั้นแมรี่เป็นฝ่ายเดินมาหาเธอและถามเธอว่า “เชื่อพระเจ้าไหม?”
คุณสุวรรณาตอบกลับไปว่า “ไม่เชื่อ”
“แล้วเชื่ออะไร” แมรี่ถามต่อ
“เชื่อตัวเอง เชื่อในความดีของตัวเอง” คุณสุวรรณาตอบ
แมรี่หยิบหนังสือเล่มเล็กๆออกมา ชื่อภาษาอังกฤษว่า 4 laws ของ Campus Crusade for Christ ชื่อภาษาไทยว่า หลักสัจธรรม 4 สู่ชีวิตนิรันดร์ และบอกว่าจะขอแบ่งปันอะไรให้ฟังได้ไหม แล้วเธอก็อ่านข้อความในหนังสือให้ฟังว่า พระเจ้าคือใคร? พระเยซูมาทำไม?
ตอนนั้นคุณสุวรรณากลับคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่มีคำพูดประโยคหนึ่งที่ติดเข้าไปในใจของเธอคือคำพูดที่ว่า “ชีวิตของคนเรามันซับซ้อนยิ่งกว่านาฬิกา” นาฬิกาเรือนเล็กๆ 1 เรือน มีส่วนประกอบกว่า 200 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเม็ดมะยม เข็มสั้นเข็มยาว เฟืองหมุน เป็นไปได้ไหมหากนำอุปกรณ์กว่า 200 ชิ้นมาเขย่ารวมกันแล้วมันจะลงล๊อคได้พอดิบพอดี เมื่อนาฬิกายังต้องมีคนสร้าง แล้วชีวิตคนเราซึ่งมีความซับซ้อนมหาศาล ข้อต่อเส้นประสาทนับล้านๆ เส้น มันจะบังเอิญเกิดขึ้นมาอย่างพอเหมาะพอดีได้อย่างไร ในใจของคุณสุวรรณาคิดว่าน่าจะมีคนสร้างเราขึ้นมาอย่างที่แมรี่บอก แต่ก็ยังไม่เชื่อ เพราะเรื่องราวของพระเจ้าพระเยซูคริสต์เป็นของใหม่สำหรับเธอ ขณะเดียวกันเธอก็ไม่เชื่อด้วยว่ามนุษย์มาจากลิง
เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ว่าเย็นวันเดียวกันเพื่อนชายที่คุณสุวรรณาซึ่งกำลังคบอยู่ในเวลานั้นได้ไปพบจักษุแพทย์ซึ่งเป็นคริสเตียนและคุณหมอก็ได้เล่าเรื่องของพระเจ้าให้เขาฟังเช่นเดียวกัน เธอรู้สึกแปลกใจมากที่วันเดียวกันมีคนพูดเรื่องพระเจ้าให้เธอและเพื่อนชายฟังเหมือนกัน ทำให้เธอคิดถึงเพื่อนร่วมห้องที่เป็นคริสเตียนจึงตัดสินใจไปร่วมการประชุมที่คริสตจักร ซึ่งเธอชอบมาก เพราะได้พูดคุยกับพี่น้องคริสเตียนและทำให้อยากรู้จักพระเจ้ามากขึ้น ในที่สุดก็ได้ต้อนรับพระเจ้าพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต คุณสุวรรณาบอกว่าเธอเองไม่รู้ว่าพระเยซูเข้ามาในชีวิตของเธออย่างไร แล้วเข้ามาจริงๆ หรือไม่ แต่เธอได้สัมผัสกับสันติสุขที่อยู่ภายในจิตใจของเธอ เมื่อคุณสุวรรณาเดินทางกลับมาประเทศไทยก็ได้ไปร่วมนมัสการที่คริสตจักรนิมิตใหม่เป็นแห่งแรกและร่วมทำกิจกรรมกับทีมงานไทยแลนด์แคมพัสครูเสดฟอร์ไครส์ ทำให้ได้เรียนรู้หลายอย่างและเติบโตขึ้น จนในที่สุดได้เข้าพิธีประกาศตนเป็นคริสเตียนที่ ค่ายเมืองพัทยาปี 1985
เมื่อคุณสุวรรณาเดินทางกลับประเทศไทยเป็นช่วงที่ตัดสินใจเป็นคริสเตียนใหม่ๆ ยังขาดความเข้าใจอยู่หลายเรื่องจึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด การขัดขวาง การต่อต้านจากครอบครัวเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งคุณแม่ถึงกับเอาเสื้อผ้าของคุณสุวรรณาไปให้หมอผีปลุกเสก ปัดรังควาน สมัยนั้นคุณสุวรรณาจะพูดติดปากว่า “ขอบคุณพระเจ้า” ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานอาหาร ประทานโน่นประทานนี่ให้ จนคุณพ่อคุณแม่รู้สึกเสียใจ ท่านมักจะถามว่า เสื้อผ้าที่ใส่พ่อแม่ก็ซื้อให้ รถที่ขับพ่อแม่ก็ซื้อให้ ค่าเล่าเรียนพ่อแม่ก็ออกให้ ตรงไหนพระเจ้า เธอก็ตอบท่านไม่ถูก บางที่ครอบครัวขอให้เธอไปร่วมงานเชงเม้ง เธอจะชอบพูดว่าเป็นคริสเตียนแล้วไปเชงเม้งไม่ได้ ไปวัดเธอก็บอกว่าไปไม่ได้ ไปโน้นไม่ได้ ไปนี่ไม่ได้ ไม่ได้ไปหมด โดยที่เธอเองไม่เข้าใจว่าแก่นของวัฒนธรรมนั้นคืออะไร ที่จริงแล้วเชงเม้งคือการระลึกถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษ ผู้มีพระคุณของครอบครัว พอเธอบอกว่าทำไม่ได้ เธอไม่ไป ญาติพี่น้องก็มองว่าเธอเป็นคนอกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ทั้งที่พระเจ้าสอนให้เราเคารพให้เกียรติพ่อแม่ และบรรพบุรุษของเรา คุณแม่คุณสุวรรณาเองถึงกับขอร้องเธอว่าห้ามประกาศหรือพูดเรื่องพระเยซูคริสต์ ห้ามพูดให้คนอื่นฟังเพราะอายเขา
เวลาผ่านไปคุณสุวรรณเรียนรู้มากขึ้น แม้คุณพ่อคุณแม่ของคุณสุวรรณายังไม่เปลี่ยนความคิด แต่แทนที่เธอจะตอบแบบเดิม เธอก็เปลี่ยนใหม่เช่น “นา” ขอบคุณพระเจ้าที่เกิดมาเป็นลูกป๋า ขอบคุณที่ป๋ารัก“นา” ส่งเสียให้ “นา” เรียนหนังสือ ซื้อรถให้ ซื้อบ้านให้ ซึ่งทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีขึ้น เมื่อก่อนคุณสุวรรณาไม่ได้ถูกสอนมาแบบนี้เลยขาดความเข้าใจ เวลาตอบอะไรไปก็ทำให้ครอบครัวโกรธเหมือนไปยั่วยุท่าน สิ่งที่ท่านจัดหามาให้เราด้วยความเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก เรากลับไม่ขอบคุณแต่ไปขอบคุณคนอื่นแทน จริงๆ แล้วท่านทั้งสองรักคุณสุวรรณามาก เป็นความรักที่มีความไว้วางใจกัน เชื่อใจกัน ถึงวันนี้ลูกจะมีความเชื่อต่างกันแต่ความรักผูกพันธ์ยังคงอยู่
พี่ๆ ทุกคนก็เข้าใจเธอเป็นอย่างดี มีพี่สาวคนหนึ่งที่เพิ่งตัดสินใจรับเชื่อพระเจ้าไม่นานมานี้ แม้ว่าปัจจุบันคุณแม่ได้จากไปแล้ว คุณสุวรรณาก็ยังรักท่านอยู่เสมอ ในวันครบรอบวันจากไปของท่านคุณสุวรรณาก็จะไปวัดพร้อมกับพี่น้องด้วย
เบื้องหลังชีวิตครอบครัว
คุณสุวรรณาแต่งงานกับคุณประเสริฐ อัครพงศ์พิศักดิ์ มีบุตรสาว 2 คน คือน้องมีนา อายุ 16 ปี และลีนา อายุ 12 ปี คุณสุวรรณาได้แบ่งปันถึงช่วงที่ได้พบกับคุณประเสริฐครั้งแรก เป็นช่วงที่เธอกลับมาเมืองไทยและเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ คุณประเสริฐเป็นรุ่นพี่ เรียนจบปริญญาตรีมาจากสหรัฐอเมริกาเช่นกันและกำลังเรียนปริญญาโทอยู่ คุณประเสริฐไม่ได้เป็นคริสเตียนไม่รู้จักเรื่องราวของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ แต่คุณประเสริฐเป็นคนที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวที่น่าสนใจ เป็นคนเก่ง ฉลาดและเป็นผู้นำ คุณสุวรรณาเองก็กำลังอธิษฐานในเรื่องคู่ครองอยู่ พี่เลี้ยงในคริสตจักรที่เป็นคนสอนและดูแลเรื่องความเชื่อของเธอแนะนำให้อธิษฐานแบบเฉพาะเจาะจงในเรื่องคู่ชีวิต โดยให้เขียนรายละเอียดเป็นข้อๆ ซึ่งเธอได้ทำตาม คุณสุวรรณาได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวของพระเจ้า ให้คุณประเสริฐฟัง เขาเองก็สนใจ และไปศึกษาที่คริสตจักรหลายแห่ง แต่เนื่องจากขณะนั้นคุณสุวรรณายังเปรียบเสมือนคริสเตียนเด็กๆ ยังเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของความรักพระเจ้า จึงนำเอาหลักคำสอนต่างๆ ไปยัดเยียดใส่ในหัวของคนรอบข้าง เป็นการให้ความรู้ที่ขาดความรัก เหมือนการบังคับที่ขาดความเข้าใจ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง จึงทำให้ตนเองและคนรอบข้างเครียดไปหมด รวมทั้งคุณประเสริฐด้วย ด้วยเหตุนี้เองคุณสุวรรณาและคุณประเสริฐได้เลิกคบหากันไปถึง 3 ปี
แต่พระเจ้าได้จัดเตรียมคุณประเสริฐไว้เป็นคู่ชีวิตและคู่พระพรของคุณสุวรรณา ในที่สุดทั้งสองได้กลับมาเจอกันอีก ครั้งนี้คุณสุวรรณาเติบโตขึ้นในความเชื่อ มีความอ่อนโยนและเข้าใจมากขึ้นว่าแก่นแท้ของชีวิตคือความรักของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อเราทุกคน คนจะรู้จักพระเจ้าไม่ใช่ใช้ความรู้หรือสติปัญญาเท่านั้นแต่โดยความรักและความดีของพระเยซูคริสต์ที่กระทำผ่านชีวิตของเราไปยังเขาต่างหาก เป็นความจริงใจมิใช่คำพูด ในที่สุดคุณประเสริฐก็ได้รู้จักและมีประสบการณ์กับพระเจ้าด้วยตัวของเขาเอง ปัจจุบันครอบครัวนี้เป็นสมาชิกคริสตจักร Church of Joy (คริสตจักรแห่งความสุข) ที่สุขุมวิทซอย 16 และทุกเย็นวันศุกร์คุณสุวรรณาจะเปิดบ้านเป็น care group เพื่อร่วมนมัสการและสามัคคีธรรมกับพี่น้องคริสตจักร ส่วนวันอังคารและวันเสาร์ก็ทำกลุ่มให้คำปรึกษา “Hope Alive”
ขณะนี้ลูกสาวทั้งสองของคุณสุวรรณาเรียนอยู่ที่ International School of Bangkok และกำลังอยู่ในช่วงของวัยรุ่น มุมมองในการเลี้ยงดูลูกวัยรุ่นของคุณสุวรรณาแตกต่างออกไปโดยเธอให้ความเห็นว่า เราต้องไม่ทำตัวเป็นเพื่อนลูก ลูกมีเพื่อนได้หลายคนแต่ลูกมีแม่ได้คนดียว คนเราจะเป็นเพื่อนกันได้ต้องมีมุมมองในชีวิตที่คล้ายกันก่อน มีประสบการณ์ที่เท่ากัน แต่แม่อายุห่างจากลูกมาก ประสบการณ์ความคิดก็ไม่เท่ากัน ดังนั้นแม่ต้องเป็นคนชี้แนะลูก ต้องทำหน้าที่ของแม่ แม่ Friendly ได้ แต่แม่ต้องมีความเป็นแม่ คือต้องให้กฎเกณฑ์กับลูก สามารถทำโทษลูกเท่าที่จำเป็นและสั่งสอนลูก มีมิชชั่นนารี่ท่านหนึ่งสอนคุณสุวรรณาว่า แม่ควรจะอธิษฐานให้ลูกมีเพื่อนสักคนหนึ่งที่เป็นคริสเตียนที่ดีและไว้ใจได้ และให้ลูกไว้ใจเขาพอที่จะปรึกษาเขาได้ในเรื่องที่เขาไม่ปรึกษาเรา และเพื่อนคนนี้สามารถมาพูดกับเราได้ เพราะบางครั้งลูกวัยรุ่นไม่อยากคุยกับพ่อแม่แต่อยากคุยกับเพื่อน คุณสุวรรณาบอกว่าแม่ต้องเข้าใจว่าการเลี้ยงลูกให้ได้ดีก็เพื่อตัวของลูกไม่ใช่เพื่อตัวของเรา เพื่อชีวิตของเขาไม่ใช่เพื่อเรา และเนื่องจากคุณสุวรรณาเป็นนักกีฬาก็จะสอนเกี่ยวกับเรื่องของกฎกติกา นักกีฬาจะลงสนามต้องเข้าใจวิธีการเล่น รู้กฎ รู้ข้อห้าม เช่นเดียวกับชีวิตที่ต้องมีกฎกติกาชีวิต กฎกติกาสังคม กฎกติกาพระเจ้า เมื่อลูกรู้กฎ ลูกก็เล่นได้สบาย และรู้จักระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้นด้วย คุณสุวรรณาเลี้ยงลูกอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีการเสแสร้ง เมื่อโกรธลูกก็จะรู้ว่าโกรธ เมื่อผิดก็สามารถขอโทษลูกได้ แต่เมื่อลูกมีปัญหาเขาก็จะมาหา แม่ก็ให้คำปรึกษาและอธิษฐานเผื่อลูกๆ
เบื้องหลังความสำเร็จ
หลายคนมีคำถามว่าการเป็นคริสเตียนที่ดีจะสามารถเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้อย่างไรสำหรับคุณสุวรรณาแล้วเธอมีความเชื่อว่าในชิวิตของเรานั้นมีหลายอย่างที่เราสามารถควบคุมได้ ขณะเดียวกันก็มีบางอย่างที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเธอจะไม่เสียเวลากับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่จะใช้เวลาในการอธิษฐานในเรื่องนั้น นอกจากนี้การทำธุรกิจยึดหลักซื่อสัตย์ต่อลูกค้าเป็นสำคัญ ทำอะไรตรงไปตรงมา เช่น คุณสุวรรณาต้องรับผิดชอบทำโฆษณาสินค้าในประเทศกัมพูชา โดยมีรางวัลให้กับผู้ซื้อชนิดขูดปุ๊บรับปั๊บ โดยกำหนดรางวัลต่างๆ ไว้ สมมุติว่าเป็นรางวัลใหญ่ 5 รางวัล รางวัลละ 10,000 บาท บางคนขอให้ทำโฆษณาว่ามีรางวัลใหญ่ถึง 50 รางวัล เพื่อกระตุ้นยอดขายและให้เหตุผลว่าสินค้ายี่ห้ออื่นเขาก็ทำกัน ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ เราจะให้กี่รางวัล แต่สำหรับคุณสุวรรณาแล้วเธอไม่ยอมทำเด็ดขาด ถ้ามี 5 รางวัลก็ต้องประชาสัมพันธ์ว่า 5 รางวัล ต้องไม่โกหกลูกค้า ตอนแรกก็ถกเถียงกันมากกลัวยอดขายจะตก แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอม เพราะคุณสุวรรณายื่นยันชัดเจนที่จะทำอย่างตรงไปตรงมา เพราะถึงแม้ลูกค้าไม่รู้ แต่ตัวเรารู้ ก็จะทำให้พูดหรือสอนลูก ๆ เรื่องความซื่อสัตย์ไม่ได้
ในเรื่องการปกครองดูแลลูกน้อง คุณสุวรรณาจะยึดความจริงใจ และความซื่อสัตย์เป็นหลัก ไม่หลอกพนักงาน คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ยึดหลักการทำงานเป็นทีม มีความไว้วางใจในทีมงาน โดยคุณสุวรรณาจะอธิษฐานเผื่อทีมงาน เพื่องานแต่ละชิ้น พึงพาพระเจ้าในทุกเรื่อง นอกจากนี้คุณสุวรรณาจะให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ เพราะลูกน้องทำงานกับเราวันหนึ่งเขาก็ต้องจากไปแต่ความสัมพันธ์ยังคงยืนยาวตลอด เงินทองหมดก็หาใหม่ได้แต่ถ้าหมดความสัมพันธ์แล้วหาใหม่ไม่ได้ หมดแล้วหมดแลย ด้วยความรักของพระเจ้าที่สำแดงผ่านชีวิตของคุณสุวรรณาทำให้ลูกน้องประทับใจ แต่ละคนจึงทำงานที่นี่ยาวนาน มีบางคนที่สร้างปัญหาก็จะเรียกมาเตือนถึง 3 ครั้ง หลังจากนั้นหากยังไม่ปรับปรุงแก้ไขก็จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบุคคลดำเนินการต่อไป ปัจจุบันคุณสุวรรณามีพนักงานประจำสำนักงานประมาณ 70 คน พนักงานโรงงานอีกกว่า 100 คน มีคริสเตียนอยู่ 5 คน ในช่วงคริสตมาสเธอจะจัดงานให้พนักงานได้มีโอกาสฟังเรื่องราวดีๆ ด้วย แต่คุณสุวรรณาจะระมัดระวังในเรื่องการประกาศและให้เกียรติพนักงาน เธอจะไม่เอาพระเจ้ามายัดเยียดให้ลูกน้อง เพราะพระเจ้ายิ่งใหญ่และสูงค่าเกินกว่าที่เราจะยัดเยียดให้กับใครได้ ด้วยเหตุนี้เองพนักงานจึงไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ แต่สนใจจริงๆ จึงมีคนที่ได้ยินได้ฟังและตัดสินใจเชื่อไว้วางใจพระเจ้าแล้ว 3 คน และได้ไปร่วมนมัสการเป็นประจำที่คริสตจักร
พระธรรมนำชีวิต
สำหรับคำถามว่า คุณสุวรรณาใช้พระคำข้อไหนหรือตอนไหนในการเลี้ยงลูกและในการปกครองลูกน้อง เธอให้ข้อคิดว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่สามารถแบ่งได้ว่า ถ้าอยู่ในครอบครัวต้องใช้พระคัมภีร์ข้อนี้ หรือถ้าอยู่ที่ทำงานใช้อีกข้อ อยู่คริสตจักรหรือที่อื่นก็ใช้ต่างกันไป ซึ่งดูเหมือนเอาพระคำของพระเจ้ามาถอดเข้าถอดออก แต่คุณสุวรรณามองว่าพระคำของพระเจ้าเป็นวิถีชีวิตที่ไม่สามารถแยกหรือคัดตอนหนึ่งตอนใดมาใช้ในแต่ละสถานการณ์เท่านั้น
แต่ถ้าต้องการให้ตอบคำถามว่าระยะนี้ของชีวิตชอบพระคำตอนไหน คุณสุวรรณาเลือกพระธรรมมาระโก 12 ข้อ 30 ว่า“และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน” เป็นพระธรรมที่สอนใจเธอว่า ความรักของเราต่อพระเจ้านั้นควรเป็นเหมือนเด็ก ๆ คือรักหมดใจไม่คิดอะไรมาก และเนื่องจากช่วงนี้คุณสุวรรณาทำกลุ่มให้คำปรึกษา “Hope Alive” ซึ่งช่วยให้คนที่มีแผลบาดลึกในชีวิตตั้งแต่วัยเด็กสามารถเผชิญความจริงเกี่ยวกับตัวเอง รู้จักตัวเองดีขึ้น และเติบโตด้านอารมณ์จิตใจมากขึ้น เธอจึงประทับใจพระธรรมยอห์น 8 ข้อ 32 ”และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท” เพราะจากการสังเกตคนรอบข้าง ไม่ว่าพี่น้องในคริสตจักร หรือ ลูกๆ และตัวเอง ดูเหมือนว่ามีความกลัวบางอย่างอยู่ในชีวิตโดยที่เราไมรู้ว่านั่นเป็นความกลัว แต่ถ้าเราลองถามตัวเองดูว่า จริงๆแล้วเรากลัวอะไรอยู่หรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วเรากลัวที่จะเผชิญกับความจริง เมื่อพระคัมภีร์บอกเราว่า “สัจจะทำให้เราเป็นไท” จึงเป็นความจริงแท้ เพราะสัจจะคือพระคำพระเจ้าเป็นพระคำแห่งความจริง และทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวทั้งสิ้น
คุณสุวรรณาได้ฝากข้อคิดทิ้งท้ายไว้ให้พวกเราว่า “ ชีวิตคนเราสั้นนัก ทุกวันนี้ที่เรายังมีลมหายใจอยู่ก็เป็นพระคุณพระเจ้า ให้มองและทำทุกอย่างเป็นเหมือนงานอดิเรก เพราะจะทำให้เรามีความสุข ทำงานด้วยความสนุก และไม่เครียดกับมัน แต่การเป็นคริสเตียนไม่ใช่เป็นงานแต่เป็นชีวิตของเราทั้งหมด คือเป็นวิถีชีวิตที่เดินไปได้ด้วยความจริงของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นคำตอบของทุกปัญหาในชีวิต ดังนั้นเราจึงต้องไม่ลืมว่า “ทุกปัญหามีทางออก ใช้ชีวิตอย่างมีสติ”
วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ความหวัง กำลังใจ ชัยชนะ
เขียนโดย คุณแม่สุภาพร กัณฑะเสณ
“ชีวิตล้วนอนิจจังแม้จะมีความทุกข์สักเท่าใดพระองค์ทรงเคียงใกล้ไม่เคยห่าง ทรงช่วยผ่อนทุกข์ หนักให้เบาบาง ความเจ็บปวดบ้างพระสร้างให้รู้คุณ ยามสุขเราสรรเสริญพระองค์เจ้า ยามเศร้ามีพระองค์ทรงเป็นเพื่อน ช่วยอบรมข่มจิตสนิทเตือน
พระเป็นพ่อและ เพื่อนจงอย่ากลัว ชีวิตเราเหมือนเทียนที่จุดไว้ มอดไหม้ไป นานๆ ก็พาลหมด ทุกสิ่งเราสร้างแม้เกียรติยศ ก็สูญสิ้นหมด ล้วนอนิจจัง” ชีวิตที่เกิดมาทุกชีวิตต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บมากมาย ตั้งแต่เกิดมา จนกระทั่งจากโลกนี้ไป แต่โรคร้ายที่คร่าชีวิตคนในโลกนี้ไปมากต่อมากมาแล้วโรคหนึ่งคือ โรคมะเร็ง ถ้าใครก็ตามที่เจ็บป่วยและตรวจพบว่าเป็นมะเร็งก็จะหมดกำลังใจ สิ้นหวัง เพราะรู้ว่าการรักษาโรคนี้ต้องใช้จ่ายเงินมาก และไม่แน่ใจว่ารักษาแล้วจะหายหรือไม่ หรือบางคนรักษาไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่นานนักก็ต้องเสียชีวิต แต่มีชีวิตหนึ่ง ที่เป็นมะเร็ง ครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านผู้นี้มีความหวัง มีกำลังใจ และมีชัยชนะต่อโรคร้าย ท่านทำให้เราเห็นว่า แม้ร่างกายจะถูกมะเร็งร้ายกัดกิน แต่วิญญาณจิตของท่านยังคงมีชัยชนะเหนือโรคร้ายนั้น ท่านทำได้อย่างไร
คุณสุภาพร กันทะเสน อายุ 60 ปี สมรส และมีบุตรสาว 2 คนเป็นสมาชิกคริสตจักร นิมิตใหม่ ทั้ง ครอบครัว คุณแม่สุภาพรมาเป็นคริสเตียนเพราะลูกสาวคนโตมาเชื่อพระเจ้าก่อน จากนั้นก็พาคุณพ่อและคุณแม่รวมทั้งน้องสาวมาเชื่อพระเจ้า ท่านเล่าให้เราฟังถึงช่วงเวลาที่ท่านต้องสัมผัสกับโรคร้าย ดูเหมือนชีวิตจะหมดกำลังเรี่ยวแรงที่จะดำเนินชีวิตต่อไปและแล้วคำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมก็มีพลัง ทำให้โรคร้ายหายได้ ท่านเล่าให้ฟังว่า “เมื่อประมาณ 12 ปีมาแล้ว แม่ได้ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งที่เต้านม ลูกสาวที่เป็นคริสเตียนก็ได้พาพี่น้อง ที่คริสตจักร มาอธิษฐานเผื่อแม่ และพี่น้องก็ได้ช่วยกันอธิษฐานเผื่อให้แม่หายจากการเป็นมะเร็งนี้และพระเจ้าก็ทรงรักษาให้หาย” แต่แล้ว ในปีที่ผ่านมาท่านก็เกิดโรคร้ายนี้ขึ้นอีกครั้ง ท่านเล่าให้เราฟังต่อว่า “เมื่อปีทีแล้วแม่ไปพบหมอ หมอก็ได้ตรวจพบกระดูกที่หน้าอกโตขึ้นและพบก้อนเนื้อที่ปอด หมอบอกว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่กระดูกและที่ปอด ที่กระดูกโตวัดได้ 4 เซนติเมตร และที่ปอดเป็นก้อนเนื้อมะเร็งทำให้มีน้ำท่วมปอด จากนั้นก็เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล แม่เองมีความเชื่อในพระเจ้าแม่จึงได้อธิษฐานให้พระองค์ทรงรักษาแม่ผ่านทางหมอและยาที่ให้ จากนั้นแม่ได้กลับไปตรวจดูมะเร็งอีกครั้งปรากฏว่าก้อนมะเร็งร้ายหายไป หมอแปลกใจมากเพราะบางคนก้อนเนื้อจะขึ้นมาอีก แต่ของแม่ก้อนเนื้อหายไปเลย ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงรักษาแม่อีกครั้ง ปัจจุบันแม่เป็นปกติดีเหมือนคนทั่วไป แต่ละครั้งในชีวิตที่ต้องเผชิญกับโรคร้าย ไม่ง่ายเลยที่จะมีกำลังต่อสู้ได้ในทุกสถานการณ์ สิ่งใดกันคือพลังที่จะหล่อหลอมจิตใจให้มีกำลังขึ้นที่จะสู้ต่อไป “เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับชีวิตแม่ แม่จะยอมรับตรงนั้น และมีความเชื่อและวางใจในพระเจ้าว่าจะทรงรักษาให้หาย พระเจ้าคงอยากให้แม่เห็นพระคุณของพระองค์ที่มีต่อชีวิตแม่ แม่คิดเสมอว่าเมื่อสิบกว่าปี ก่อน พระองค์ทรงรักษาแม่อย่างไรมาวันนี้ถ้าพระเจ้าจะให้เป็นอีก พระองค์ก็ต้องรักษาให้แม่หายอีกเช่นกัน
พระคำ ตอนที่หนุนใจแม่มากคือใน สดุดี 57 : 1 ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระกรุณา ต่อข้าพระองค์ ขอทรง พระกรุณาต่อข้าพระองค์ เพราะจิตวิญญาณของข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ ข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีก ของพระองค์ จนกว่าภัยอันตรายจะผ่านพ้นไป’ อยากหนุนใจสำหรับคนที่ท้อใจว่า เมื่อท้อใจขอให้อ่านพระคำของพระเจ้า พระคำทุกบททุกตอนจะหนุนใจเราทำให้มีกำลังขึ้นโดยพระองค์ พระวจนะของพระเจ้ายังคงอยู่เคียงข้างชีวิตของท่านเสมอ ท่านได้แบ่งปันให้เราฟังถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ท่านจดจำได้ดีเสมอ คือ “แม่จะชอบอ่านพระคำของพระเจ้าอย่างเช่น ใน 1 โครินธ์ 13 เรื่องของความรัก ในปัญญาจารย์ 5 : 8 ที่ว่า ‘ถ้าเจ้าเห็นคนจนในเมืองถูกข่มเหงก็ดี เห็นความยุติธรรมและสิทธิถูกคร่าเอาไปเสียก็ดี เจ้าอย่าหลากใจในเรื่องนั้น ด้วยว่ามีเจ้าหน้าที่คอยจับตาเจ้าหน้าที่อยู่ แล้วยังมีผู้สูงกว่าอีกชั้นหนึ่งจับตาอยู่เหนือพวกเขาทั้งสิ้น’ ในกาลาเทีย 6 : 10 ที่ว่า ‘เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง และเฉพาะอย่างยิ่งต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ’
ท้ายที่สุดนี้ท่านได้ฝากข้อคิดให้เราไว้ถึงชีวิตที่จะดำเนินกับพระเจ้าในแต่ละวันว่า “คริสเตียนเราสำคัญที่สุด คือวางใจในพระเจ้าเสมอ ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ตัวอย่างโยบ แม่จะเอาโยบ เป็นตัวอย่างในเรื่อง ความอดทน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม่ได้เห็นความรักของพระเจ้าผ่านทางพี่น้องมากมาย ที่อธิษฐานเผื่อเสมอ หนุนใจแม่เป็นกำลังใจที่ดี ขนาดคนเจ็บป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอย่างแม่ พระเจ้าก็ยังรักษาให้หายได้ ขอเพียงเราเชื่อและวางใจในพระองค์ อย่าท้อใจเมื่อรู้สึกทุกข์ใจ ความทุกข์บางครั้งทำให้เรานอนไม่หลับ ให้อ่านพระวจนะของพระเจ้าจะทำให้ดีขึ้น ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนวางใจในพระองค์ พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเราจะอยู่กับเราเสมอในยามยากลำบาก เวลาแม่มีเรื่องไม่สบายใจจะพูดคุยกับพระเจ้า แม่จะตื่นตอนตี 4 ตี 5 เพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าวันละครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงขึ้นอยู่กับ หัวข้อว่ามีมากแค่ไหน ทีเราจะใช้เวลาคุยกับพระเจ้า ขอให้ทุกคนที่ต้องเผชิญปัญหาใกล้ชิดพระเจ้าให้มากขึ้น” มะเร็งนั้นไม่อาจบั่นทอนความรัก ไม่อาจบดขยี้ความหวัง ไม่อาจกัดกร่อนความเชื่อ ไม่อาจแทะกินสันติสุข ไม่อาจทำลายความเชื่อมั่น ไม่อาจสังหารมิตรภาพ ไม่อาจปิดกั้นความทรงจำ ไม่อาจสยบ ความกล้า ไม่อาจรุกล้ำจิตวิญญาณ ไม่อาจลดทอนชีวิตนิรันดร์ ไม่อาจดับพระวิญญาณ ไม่อาจทอนฤทธิ์อำนาจของการเป็นขึ้นมาจากความตายลงได้ หากโรคที่รักษาไม่หายแต่กลับรุกล้ำเข้ามาในชีวิต จงอย่ายอมให้มันเข้ามาแตะต้องจิตวิญญาณของคุณ ร่างกายของคุณอาจต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส และคุณอาจต่อสู้อย่างหนัก แต่หากคุณยังคงวางใจในความรักของพระเจ้า จิตวิญญาณของคุณจะยังคงเข้มแข็งอยู่ได้
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
สิทธิในการอธิษฐานต่อพระเจ้า และตัวอย่างคำอธิษฐาน
นอกจาการรับความรอดพ้นจากการถูกพิพากษาให้รับโทษในนรกที่เราควรได้รับแล้ว เรายังได้รับสิทธิ์ในการอธิษฐานในเรื่องราวต่างๆต่อพระเจ้าด้วย เพราะว่าเราได้รับสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้าและเป็นเหมือนประชากรของพระองค์บนแผ่นดินสวรรค์ เมื่อเราอธิษฐานต่อพระเจ้าพระองค์จะทรงฟังคำอธิษฐานของเราทุกคำ พระเยซูทรงสัญญากับเราว่า “ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่านในนามของเรา” พระองค์ได้แนะนำเราในการอธิษฐานด้วยว่า “สิ่งสารพัดซึ่งท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อ ท่านจะได้” พระคัมภีร์ได้แนะนำเราในการอธิษฐานว่าสิ่งที่เราอธิษฐานต่อพระเจ้านั้นต้องเป็นสิ่งที่ดีและสอดคล้องกับน้ำพระทัยพระเจ้าที่มีสำหรับเรา เพื่อการอธิษฐานของเรานั้นจะไม่เป็นคำอธิษฐานที่ผิดและไม่ได้รับคำตอบเรื่องราวต่างๆที่เราสามารถอธิษฐานต่อพระเจ้านั้นไม่มีข้อจำกัด เราสามารถอธิษฐานได้ทุกเรื่องเหมือนกับเพื่อนสนิทที่พูดคุยกัน บอกเรื่องราวความในใจระหว่างกัน ขอการช่วยเหลือเมื่อได้รับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ และขอบคุณเมื่อได้รับความช่วยเหลือ อย่างไรก็ดีเพื่อให้มีความเข้าใจมากขึ้นเราสามารถสรุปหัวข้อต่างๆที่คริสต์ชนอธิษฐานต่อพระเจ้าได้ดังนี้
อธิษฐานสรรเสริญพระเจ้า
อธิษฐานสารภาพบาป เพื่อขอรับการอภัย
อธิษฐานขอความช่วยเหลือในความทุกข์ยากลำบากต่างๆ
อธิษฐานเผื่อสามีหรือภรรยา ญาติพี่น้อง เพื่อน และประเทศชาติ ให้ได้รับความสุข
อธิษฐานของการรักษาโรคภัยต่างๆให้หาย
อธิษฐานของการเลี้ยงดู ขอการช่วยเหลือเรื่องสภาวะเศรษฐกิจ และขอการอวยพรจากพระเจ้า
อธิษฐานของการปกป้องและคุ้มครองจากเหตุร้ายต่างๆ
อธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้าที่ตอบคำอธิษฐานต่างๆที่เราขอจากพระองค์
อื่นๆ
รูปแบบของคำอธิษฐาน
รูปแบบคำอธิษฐานของคริสต์ชนโดยทั่วๆไปมีรูปแบบง่ายๆดังนี้ เริ่มต้นคำอธิษฐานด้วยการกล่าวเรียกพระเจ้า ซึ่งคำที่เราสามารถใช้แทนพระเจ้ามีหลายคำได้อาทิเช่น “ข้าแต่พระเจ้า” “ข้าแต่พระบิดาเจ้า” “ข้าแต่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด” เป็นต้น หลังจากคำเริ่มต้น ให้เราบอกถึงความต้องการต่างๆของเรา หรือข้อความที่เราต้องการบอกต่อพระเจ้า ในตอนนื้เรามักใช้คำแทนต้วเราว่า “ข้าพระองค์” หรือ แทนต้วเราว่า “ลูก” เป็นต้น เมื่อเราได้ขอสิ่งต่างๆ หรือบอกข้อความต่างๆต่อพระเจ้าจบแล้ว ให้เราลงท้ายคำอธิษฐานว่า “ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน” คำว่า “อาเมน” เป็นคำกล่าวด้วยความเชื่อ หมายความว่า ขอให้เป็นไปตามนี้
ตัวอย่างคำอธิษฐานของคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร
“ข้าแต่พระเจ้าผู้เป็นที่รัก ขอบพระคุณพระองค์สำหรับอาหารที่ได้ที่พระองค์ประทานให้แก่ข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงชำระอาหารนี้ให้สะอาดและบริสุทธิ์ และอวยพรให้อาหารนี้เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย ขอบพระคุณพระองค์ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
” ตัวอย่างคำอธิษฐานสารภาพบาป“
ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงสถิตเหนือฟ้าสวรรค์ ข้าพระองค์ถ่อมใจลงต่อพระพักตร์ของพระองค์ สารภาพบาปผิดที่ข้าพระองค์ได้กระทำ ___________________________ ข้าพระเจ้าทรงพระเมตตาอภัยบาปผิด แก่ข้าพระองค์ ตามความรักมั่นคงที่พระองค์มีต่อข้าพระองค์ และของฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ช่วยข้าพระองค์ ประทานกำลังแก่ข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์จะมีกำลังเอาชนะความบาปเหล่านี้ และ ไม่หลงไปกระทำความบาปผิดอีก ทูลต่อพระองค์ด้วยใจที่สำนึกผิด ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน”
ตัวอย่างคำอธิษฐานขอความสำเร็จและเจริญรุ่งเรือง
“ข้าแต่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงเป็นพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่ง และน่าเกรงกลัว ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและดำรงความรักมั่นคงกับบรรดาผู้ที่รักพระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ขอทรงฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ ขอทรงโปรดให้เป็นข้าพระองค์เป็นที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ขอประทานความสำเร็จแก่ข้าพระองค์ในวันนี้ ขอพระองค์ทรงอวยพระพรแก่ข้าพระองค์ และขยายเขตแดนของข้าพระองค์ และขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่กับข้าพระองค์ และขอพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้พ้นจากเหตุร้าย เพื่อมิให้ข้าพระองค์เจ็บใจปวดกาย ข้าพระองค์ทูลพระองค์ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า”
ตัวอย่างคำอธิษฐานขอการเติบโตฝ่ายวิญญาณตามพระคัมภีร์เอเฟซัส
“ข้าแต่พระเจ้าพระบิดา ของข้าพระองค์ๆอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา) มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ และขอให้ตาใจของ (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา) สว่างขึ้น เพื่อ (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา) จะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียก (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา) นั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา) และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร และรู้ว่า ฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ตามอำนาจของพระกำลัง และฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรค์สถาน สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น
ขอให้พระองค์ทรงโปรดประทานกำลังเรี่ยวแรงมากฝ่ายจิตใจแก่ (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา) โดยเดชพระวิญญาณของพระองค์ตามความไพบูลย์แห่งพระสิริของพระองค์ เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของ(ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา) ทางความเชื่อ เพื่อว่าเมื่อ (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา) ได้วางรากลงมั่นคงในความรักแล้ว (ข้าพระองค์ หรือชื่อของเรา) ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้ เพื่อที่จะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์ อาเมน”
ท่านสามารถดูตัวอย่างคำอธิษฐานอื่นๆเพิ่มเติมได้จาก “บทความเกี่ยวกับคำพยานชีวิต และตัวอย่างคำอธิษฐานสำหรับสถานการณ์ต่างๆในเว็บไซด์นี้"
เคยเป็นร่างทรงมาก่อนต้องทำอย่างไร
บางครั้งในการดำเนินชีวิตของเราก่อนเรารับเชื่อให้องค์พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราอาจจะเกี่ยวข้องกับหรือผูกพันกับวิญญาณต่างๆ หรือเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางไสยศาสตร์มาก่อน โดยทั่วไปเมื่อเราได้รับเชื่อแล้วเราเปรียบเสมือนผู้ที่เกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ในอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ในกฎแห่งพระคุณและความรักของพระองค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมอีกต่อไปรวมทั้งได้รับการปลดปล่อยจากให้เป็นอิสระจากการรบกวนของวิญญาณชั่วต่างๆหรือสิ่งศักดิ์ต่างๆที่เราเคยเคารพบูชา
แต่บางกรณีเราได้เกี่ยวข้องกับวิญญาณต่างๆหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นอย่างลึกซึ้งเหมือนการทำพันธะสัญญาต่อกัน ถึงแม้เราได้รับเชื่อแล้วก็จริงแต่เนื่องจากในอดีตเราเคยกล่าวคำพูดทำพันธะสัญญากับสิ่งเหล่านั้นเช่นการทำพิธีเพื่อเป็นร่างทรงของวิญญาณต่างๆ หรือได้เชิญวิญญาณต่างๆเข้ามาสิงสถิตในร่างกายของเราเป็นต้น ดังนั้นในบางกรณีวิญญาณเหล่านั้นจึงยังไม่ยอมไปไหนหรือปล่อยให้เราเป็นอิสระจากพวกเขาหลังจากเราได้รับเชื่อแล้ว และยังคงวนเวียนอยู่รอบๆเราหรือคอยรบกวนเราในบางครั้ง
สิ่งที่ผู้เชื่อใหม่ควรทำในกรณีเหล่านี้คือให้อธิษฐานตัดสัมพันธ์กับวิญญาณต่างๆหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่เราเคยเกี่ยวพันด้วย ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการบอกเลิกสัญญาหรือพันธะที่มีระหว่างกัน สำหรับขั้นตอนการอธิษฐานขอให้ท่านติดต่อกับศิษยาภิบาลหรือผู้นำของคริสตจักรเพื่อขอรายละเอียดในการดำเนินการ
ตัวอย่างคำอธิษฐานแบบง่ายๆในการประกาศตัดสัมพันธ์ "ข้าแต่พระบิดาเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน ผู้ทรงประทานฤทธานุภาพสูงสุดทั้งในสวรรค์และแผ่นดินโลกให้แก่พระเยซูคริสต์แล้ว โดยฤฺทธิ์เดชของพระโลหิตและพระนามของพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าของประกาศ ตัดสัมพันธ์ทั้งสิ้นกับ (เอ่ยชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องการตัดสัมพันธ์) คำสัญญา คำบนบานต่างๆที่ได้เคยมีในอดีต ขอประกาศให้เป็นโมฆะในพระนามของพระเยซูคริสต์ ต่อไปนี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อกันอีกต่อไป อธิษฐานในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน"
ที่บ้านไหว้เจ้า เรากินอาหารไหว้เจ้าได้หรือไม่
อาหารเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์สำหรับใช้ในการดำรงชีวิต โดยตัวอาหารเองแล้วถ้าเป็นอาหารที่ดีไม่ว่าจะเป็นพืชผักหรือเนื้อสัตว์ เป็นอาหารที่สะอาดและถูกต้องตามโภชนาการแล้ว เมื่อเรารับประทานก็จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกายเราทั้งสิ้น ซึ่งตามปกติโดยตัวอาหารเองจะไม่มีผลกระทำต่อจิตวิญญาณของเราเลย พระเยซูทรงสอนเราว่าสิ่งที่เรารับประทานเข้าไปในร่างกายไม่ทำให้เราบาปหรือเป็นมลทินต่อจิตวิญญาณของเรา แต่ความคิดและคำพูดที่ออกจากปากเรานั่นแหละทำให้เราบาปหรือจิตวิญญาณเราเป็นมลทินไปถ้าเราพูดหรือคิดในสิ่งที่ไม่ดี
หรือเราสามารถมองอีกมุมหนึ่งได้ว่า ถ้าท่าทีภายในใจของเราไม่ถือว่าอาหารที่ไหว้รูปเคารพเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรรับประทาน หรือถ้าที่ภายในในเราไม่ถือว่าอาหารที่ไหว้รูปเคารพไม่เป็นสิ่งสกปรก เราก็รับประทานได้ เพราะพระคัมภีร์สอนเราให้อธิษฐานขอการชำระอาหารและรับประทานอาหารต่างๆโดยพระคุณของพระองค์ที่ประทานอาหารให้เรา เมื่อถือตามนี้แล้วก็สามารถรับประทานโดยประคุณได้
แต่มีข้อคิดอีกอย่างหนึ่งคือว่า ขณะที่เรากำลังรับประทานอาหารนั้นแล้วเกิดมีผู้เชื่อบางคนที่มีความเชื่อน้อยและรู้สึกว่าเราไม่ควรรับประทาน เราก็ไม่ควรรับประทานอาหารนั้น ไม่ใช่เพราะตัวอาหารนั้นเองแต่เพราะว่าความรักที่เรามีต่อพี่น้องของเราที่ไม่อยากให้เขารู้สึกไม่สบายใจ พระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 8:8-9 กล่าวว่า “อาหารไม่เป็นเครื่องที่ทำให้พระเจ้าทรงโปรดปรานเรา ถ้าเราไม่กิน เราก็ไม่ขาดอะไร ถ้าเรากิน เราก็ไม่ได้อะไรเป็นพิเศษ แต่จงระวังอย่าให้เสรีภาพของท่านนั้น ทำให้คนที่มีความเชื่อน้อยหลงผิดไป”
ควรทำอย่างไรกับเครื่องรางหรือรูปเคารพ
เป็นคำถามทีผู้เชื่อใหม่มักถามมากที่สุดคำถามหนึ่ง ในกรณีนี้ของแยกคำตอบออกเป็น 2 คำตอบ เพราะมีความแตกต่างกันในทางปฏบัติ
เครื่องรางหรือรูปเคารพที่เราเป็นเจ้าของอยู่
พระคัมภีร์เสวีนิติ 19:4 ได้สอนเราในเรื่องนี้ว่า “อย่าให้ผู้ใดกลับนับถือรูปเคารพ หรือหล่อพระไว้เป็นรูปเคารพสำหรับตน เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า”
และในเฉลยธรรมบัญญัติ 7:25 “ท่านทั้งหลายจงเผารูปแกะสลักอันเป็นรูปพระทั้งหลายของเขาเสียด้วยไฟ ท่านทั้งหลายอย่าโลภอยากได้เงินหรือทองซึ่งปิดรูปพระอยู่นั้น หรือนำไปเป็นของท่าน เกรงว่าท่านจะหลงสิ่งเหล่านั้น เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของพึงรังเกียจแด่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน”
รูปเคารพคือสิ่งที่เป็นผลงานของมือมนุษย์ทำขึ้น รูปเหล่านั้นไม่มีฤทธิ์เดชหรือความสำคัญผ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง แต่พระเจ้าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และมีฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งศักดิสิทธิ์อื่นๆ พระองค์เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องฤทธิ์เดชของพระเจ้าและการอัศจรรย์ที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้มากมาย ที่สำคัญคือพระองค์ทรงรักเราและพระองค์ทรงหวงแหนเราด้วย พระคัมภีร์อพยพ 20:5 “เราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน” หมายถึงพระเจ้าให้เราพึ่งพาพระองค์ผู้เดียวไม่ต้องการให้เราพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด
คุณอาจเคยไหว้รูปเคารพในอดีตแต่ปัจจุบันคุณได้เชื่อในพระเจ้าแล้วดังนั้นเราไม่ควรปฏิบัติสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป คุณควรนำเครื่องรายและรูปเคารพต่างๆที่มีอยู่ออกไปให้ห่างจากชีวิตของคุณ ซึ่งอาจทำโดยนำไปทิ้งไว้ตามวัดต่างๆหรือตามศาลพระภูมิต่างๆที่ใกล้บ้านของคุณ
การเก็บรูปเคารพของคุณไว้เพราะเสียดายหรือรู้สึกผูกพันกับความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งนั้น อาจจะเป็นช่องทางในฝ่ายวิญญาณ ที่คอยรวบกวนการเติบโตในทางของพระเจ้าของคุณก็ได้ ในหลายกรณีมีผลกระทบทำให้มีผลต่อการฟังเสียงของพระเจ้า หรือมีผลต่อความเข้าใจเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ เนื่องจากเป็นเสมือนมลพิษฝ่ายวิญญาณ
เมื่อเรานำรูปเคารพของเราไปทิ้งไปหรือนำไปไว้ที่อื่น คุณควรอธิษฐานตัดสัมพันธ์กับรูปเคารพนั้นหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วยโดยเฉพาะรูปเคารพที่คุณให้ความนับถือเป็นพิเศษและเคยบูชากราบไห้วอย่างเป็นประจำ คำอธิษฐานมีง่ายๆคือ "ในพระนามของพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าของประกาศตัดสัมพันธ์กับ (พูดชื่อของรูปเคารพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของท่าน) ต่อไปนี้คำบนบานต่างๆและคำสัญญาทั้งสิ้นขอประกาศในเป็นโมฆะ อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน" การอธิษฐานต้องอธิษฐานให้มีเสียงออกจากปากของเรา อย่าอธิษฐานในใจ
เครื่องรางหรือรูปเคารพที่เป็นของทางบ้านของเรา
ในกรณีที่รูปเคารพอาจเป็นของพ่อหรือของแม่ หรือปู่ ยา ตา ยายของคุณ ตราบใดที่พวกเขายังไม่เชื่อพระเจ้า การนำสิ่งเหล่านั้นออกไปโดยพลการ อาจเป็นการสะเทือนใจต่อเจ้าของและอาจเกิดข้อโต้แย้งในเวลาต่อมาได้ ดังนั้นคุณควรจะพึ่งพาพระกรุณาของพระเจ้า ขอการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่เหนือบ้านของคุณ ขอพระโลหิตของพระเยซูชำระทุกสิ่งที่อยู่ในบ้าน ให้ทุกๆอย่างอยู่ไต้อำนาจของพระองค์ และควรอธิษฐานเผื่อครอบครัวเพื่อเขาจะได้พบกับพระเจ้าเช่นเดียวกับเรา
ในหลายกรณ๊ที่ท่านนอนในห้องที่มีรูปเคารพ เช่น ท่านนอนในห้องพระ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช้เรื่องน่าวิติกกังวล และจะไม่ผลอะไรกับท่าน ของเพียงท่านอธิษฐานในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ปกคลุมท่านไว้ รูปเคารพเหล่านั้นก็จะไม่สามารถส่งอิิทธิพลใดๆต่อท่านได้
คริสเตียนไปงานศพที่วัดได้หรือไม่
การไปงานศพเป็นสิ่งที่ควรจะทำเพื่อเป็นการไว้อาลัยถึงผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว การที่เราเป็นคริสเตียนแล้วไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเข้าร่วมพิธีแต่อย่างไร ตามความเชื่อของคริสเตียน ผู้ที่จากโลกนี้ไปแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก (ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด) แต่จะไปอยู่ที่ที่พระเจ้าจัดไว้เพื่อรอการพิพากษาสิ่งที่ได้กระทำในโลกนี้ในช่วงขณะที่มีชีวิตอยู่ การทำบุญหรืออุทิศส่วนกุศลต่างๆให้แก่ผู้ตายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
เมื่อเราถูกเชิญไปร่วมไว้อาลัยในไม่ว่าจะตามธรรมเนียมพุทธหรือธรรมเนียมจีนก็ดี เราสามารถร่วมคารวะศพหรือไหว้ศพได้ โดยไม่ต้องจุดธูปเทียน เราสามารถแจ้งต่อเจ้าภาพได้ว่าเราเป็นคริสเตียนไม่ใช้ธูปในการไหว้ศพ ขณะในช่วงเวลางานศพถ้าเราช่วยอะไรได้ก็ควรทำเช่น การเสริฟน้ำและอาหาร การต้อนรับแขก ช่วยในการบริการด้านต่างๆในงาน
สำหรับในเวลาที่พระสวดหรือทำพิธีกรรมต่างๆ เราควรนั่งสงบใจด้วยท่าที่สุภาพ ไม่ควรคุยกันในเวลานั้นเพื่อเป็นการในเกียรติแก่เจ้าภาพ แต่เราควรใช้เวลาในการอธิษฐานเผื่อผู้ที่มาร่วมงานและญาติของผู้เสียชีวิตให้ได้รับการเล้าโลมใจจากพระเจ้าจากการสูญเสียคนที่รักไป ตามปกติไม่ควรใช้เวลานั้นเป็นพยานเรื่องพระเจ้า รอถ้าเรามีโอกาสดีๆค่อยใช้เวลาเป็นพยานให้ญาติหรือคนที่มาร่วมงานฟังก็ได้
พาคุณพ่อและคุณแม่ของเราไปวัดได้หรือไม่
นอกการการเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระคัมภีร์ให้เราเชื่อฟังบิดามารดาของเราด้วย ในโคโลสี 3:20 “ฝ่ายบุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของตนทุกอย่าง เพราะการนี้เป็นที่ชอบพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
ถ้าเราได้รับการขอให้ช่วยขับรถพาคุณพ่อและคุณแม่ของเราของเราไปวัด หรือไปเป็นเพื่อนท่าน ก็เป็นเรื่องดีที่เราจะได้ปรนนิบัติท่านสำแดงความรักและความกตัญญูต่อท่านในฐานะที่ท่านได้เป็นคุณพ่อและคุณแม่ของเรา เพราะเป็นสิ่งที่เราควรกระทำในฐานะที่เราเป็นผู้เชื่อที่ดีในองค์พระเยซูคริสต์เพื่อเป็นการถวายเกียรติ์พระเจ้า และเราสามารถหาโอกาสในการทรงนำจากพระเจ้าเพื่อการประกาศเป็นพยานเรื่องพระเยซูในช่วงเวลาระหว่างที่เราเดินทางไปกับท่านได้อีกด้วย
โดยทั่วไปเมื่อเราไปถึงวัดแล้วเราสามารถเข้าร่วมพิธีกรรมตามปกติต่างๆได้ เช่น การทำบุญการแจกทาน ร่วมรับประทานอาหาร หรือการฟังเทศนา เป็นต้น แต่อาจจะมีพิธีกรรมบางอย่างที่เราไม่สามารถเข้าร่วมได้เช่นการจุดธูปไหว้พระ การไหว้หรือบูชารูปเคารพต่างๆ การรับหรือดื่มน้ำมนต์เป็นต้น ท่านสามารถติดต่อศิษยาภิบาลหรือผู้นำในคริสตจักรเพื่อขอคำปรึกษาในรายละเอียดเพื่อการปฏิบัติตัวได้ถูกต้องและเหมาะสมยิ่งขึ้น
จะบอกเพื่อนๆของเราอย่างไร
นอกจากเราควรบอกเรื่องการรับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ต่อครองครัวของเราแล้ว เราควรบอกต่อเพื่อนๆของเราด้วย เพื่อนของเราเป็นกลุ่มที่เรามักสนิทรองลงมาจากครอบครัวของเรา ให้เราพูดคุยชักชวนเพื่อนหรืออาจจะท้าทายพวกเขาในเรื่องที่เขามีปัญหาเพื่อให้เขามาพึ่งพาพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ช่วยเหลือเขาจากปัญหาเหล่านั้น เราอาจจะเล่าคำพยานต่างๆที่เรามีประสบการณ์โดยตรง หรือคำพยานจากพี่น้องของเราในคริสดจักรในการที่พระเจ้าเข้ามาช่วยในเราพบความสุขและแก้ไขเราออกจากปัญหาต่างๆ ให้เราหาโอกาสในการที่จะนำพวกเขามาคริสตจักร
นอกจากการบอกเรื่องของพระเจ้าให้เขาฟังแล้ว เราควรสำแดงความรักของพระเจ้าให้เขาด้วย โดยถ้าเราทราบว่าเขามีปัญหาเราควรให้ความช่วยเหลือให้กำลังใจ และนำปัญหาของเขามาอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อให้พระเจ้าเป็นผู้ช่วยเหลือเขา ขอให้พระเจ้าสัมผัสเขาด้วยความรักและความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเพื่อให้เขาทราบว่าพระเยซูทรงรักเขาอย่างๆไร
ในบางกรณีอาจจะมีเพื่อนบางคนไม่เขาใจเราหรือเราอาจจะถูกต่อต้านบ้าง ให้เราอดทนต่อพวกเขาเหล่านี้ ในทางกลับกันพระคัมภีร์ให้เราสำแดงความรักของเราแก่เขาและอธิษฐานเผื่อเขาด้วย ทำให้พวกเขาเห็นความอ่อนสุภาพที่เกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิในชีวิตของเรา
เราจะบอกสามีหรือภรรยา และบุตรของเราอย่างไร
เมื่อตัวเรา (ซึ่งอาจจะเป็นสามีหรือภรรยา) ได้รู้จักกับพระเจ้าและได้ตัดสินใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์เราควรบอกให้คนในครอบครัวของเราทราบว่าพระเจ้าทรงช่วยเราอย่างไรบ้าง ซึ่งอาจจะมาจากการช่วยของพระเจ้าจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาทางด้านสุขภาพ ปัญหาทางด้านการงาน หรือปัญหาอื่นใดก็ตามที่พระองค์ได้ทรงประทานทางออกให้กับเรา
ในการบอกต่อคู่ครองของเราส่วนใหญ่สำหรับสามีมักจะไม่มีปัญหาความไม่เข้าใจจากภรรยานัก ในทางกลับกันถ้าภรรยาได้รับเชื่อก่อนในบางกรณีการที่จะบอกต่อสามีอาจจะมีปัญหาในความไม่เข้าใจจากสามีบ้าง สำหรับในกรณีที่คู่ครองของเราไม่เข้าใจเหตุที่เรารับเชื่อพระเยซูคริสต์อาจจะสร้างความกดดันให้แก่จิตใจของเราบ้างในช่วงแรก ขอให้เราอดทน อธิษฐานกับพระเจ้าทุกวันเผื่อครองครัวของเรา พระเจ้าจะให้สติปัญญากับเราในการพูดทำความเข้าใจ และในขณะเดียวกันเราความหาเวลาให้กับครอบครัวของเราเหมือนเดิมหรือมากขึ้น ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ในครอบครัว สร้างความสัมพันธ์ที่ดีโดยให้ความรักของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าไหลผ่านชีวิตของเราสู่พวกเขาเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้เขาเห็นในการที่พระเจ้าเปลี่ยนแปลงเราซึ่งเป็นการเปลี่ยนมาจากภายในของเรา
การปฏิบัติตัวที่สม่ำเสมอทุกวันในความเชื่อของเราในการอธิษฐานเผื่อทุกคนในครอบครัว และการอ่านพระคัมภีร์จะช่วยให้เราเข็มแข็งและมีกำลังใจขึ้น เราควรหาโอกาสในวันสำคัญต่างๆที่จะชวนคนในครอบครัวของเรามาคริสตจักรเช่น วันแม่หรือวันพ่อแห่งชาติ วันคริสตมาส และวันอีสเธอร์เป็นต้น
ขอให้เรายึดหมั่นเรื่องหนึ่งไม่คือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ปรารถนาที่จะให้เราต้องแยกจากครองครัวของเรา แยกจากสามีหรือภรรยาของเรา เพราะพระคัมภีร์ได้สอนเราว่าพระองค์ได้ผูกพันทั้งสองไว้แล้วและไม่ปรารถนาที่จะให้ทั้งสองพรากจากกัน ถ้าเรามีปัญหาความไม่เข้าใจในครอบครัวของเราให้เราอดทน อธิษฐานและรอคอยพระเจ้าด้วยความเชื่อและความถ่อมใจ พระเจ้าจะเป็นผู้แก้ไขปัญหาต่างๆให้แก่เราเอง ขอย้ำอีกครั้งว่าการเปลี่ยนแปลงของเราจากภายในจะเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้พวกเขาเห็นพระเจ้าในชีวิตเราและนำพวกเขาเหล่านั่นมาสู่ความรอดในองค์พระเยซูคริสต์
เราจะบอกญาติผู้ใหญ่อย่างไรเมื่อเราได้รับเชื่อพระเยซูแล้ว
โดยปกติเราเคยอยู่ภายใต้การปกครอง และถูกปลูกฝังความคิดภายใต้ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ให้มีความเคารพและเชื่อฟังญาติผู้ใหญ่และพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ในทุกๆเรื่อง แต่เมื่อเราได้มาพบกับพระเยซูคริสต์แล้วการที่เราจะบอกเรื่องนี้ต่อญาติผู้ใหญ่ของเราสำหรับบางคนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอาจมีผู้ใหญ่บางคนขาดความรู้และความเข้าใจในเรื่องพระเจ้าอย่างถูกต้อง
วิธีต่างๆเหล่านี้เป็นแนวทางที่ช่วยให้สามารถบอกแก่ญาติผู้ใหญ่และผู้อาวุโสในครอบครัวของเรา
º เราสามารถบอกท่านด้วยท่าทีหรือความประพฤติของเราที่พระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงเราใหม่ไปในทางที่ดีขึ้น เราควรเคารพท่านและรักห่วงใยท่านเหมือนเดิมและยิ่งกว่าเดิมอีก และอยากให้ท่านได้รับความรอดเหมือนกับเรา เมื่อท่านเห็นการเปลี่ยนแปลงจะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้ท่านเข้าใจถึงเหตุผลของเราในการรับเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
º ให้ญาติผู้ใหญ่ของเราสัมผัสถึงความรักของพระเจ้าผ่านชีวิตของเราโดยการที่พระองค์ทรงเข้ามาเปลี่ยนแปลงตัวเรา เราทุกคนไม่ใช่คนที่เป็นคนดีพร้อมเต็มร้อย แต่พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนเราให้ดีขึ้นกว่าเดิม เช่นเราเคยเป็นคนที่แข็งกระด้าง เมื่อเรารับการเปลี่ยนแปลงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เราจะเป็นคนที่สุภาพ อ่อนน้อม เชื่อฟัง และมีความรักต่อผู้อื่นมากขึ้น
º อธิบายให้ท่านเข้าใจในความจริงในพระคำของพระเจ้าและความรักของพระเจ้าที่มีให้กับบุตรของพระองค์ทุกๆคน ความรอดที่เราได้รับ และเป็นพยานในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า การช่วยเหลือของพระเจ้าในด้านต่างๆที่มาถึงเราในทุกครั้งที่มีโอกาส
º ให้ความห่วงใยในยามที่ท่านมีปัญหาหรือเจ็บป่วย และให้เรากล้าที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าถึงปัญหาต่างๆของท่านหรือเผื่ออาการเจ็บป่วยของท่าน เพื่อขอให้พระเจ้าสำแดงพระคุณของพระองค์ในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นหรือผ่านการรักษาอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น
การสร้างสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า
สิ่งที่เราควรทำหลังรับเชื่อแล้ว
สิ่งที่ควรทำเมื่อตัดสินใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดคือ การแสวงหาการครอบครองหรือสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์ โดยผ่านการอธิษฐาน การขอบพระคุณ การอ่านพระคัมภีร์และการนมัสการ หรือที่รู้จักกันว่าเป็นการเฝ้าเดี่ยว
นอกจากนั้นเราควรมีการใช้เวลาร่วมกันกับพี่น้องคริสเตียน ในส่วนที่เราร่วมอยู่ เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน และเรียนรู้จักพระเจ้าผ่านกันและกันมากขึ้น
สิ่งที่เราไม่ควรทำหลังรับเชื่อแล้ว
สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อตัดสินใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดคือ การประพฤติต่างๆที่นำให้เราออกห่างจากน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือกฎเกณฑ์ของพระองค์ โดยการกระทำความบาปต่างๆ (สิ่งที่ขัดต่อพระคัมภีร์) คิดในสิ่งที่ไม่ดี พูดในสิ่งที่ไม่ดี อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการปลีกตัวอยู่คนเดียว การที่เราปลีกตัวอยู่คนเดียวมักทำให้ความเชื่อของเราลดลงและอ่อนกำลังด้านจิตวิญญาณ
การสร้างสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า
คุณเคยมีเพื่อนสนิทขนาดนี้บางไหม? รักคุณแบบซึ่งคุณเป็น ไม่ว่าคุณจะรวยหรือจน เขาจะอยู่กับคุณเสมอไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ระบายปัญหาหนักอกหนักใจกับเขาได้ทุกเรื่อง บางครั้งเขาเป็นเพื่อน/แม่/ที่ปรึกษาก็ได้ เก็บความลับของคุณได้ทุกเรื่อง ซื่อสัตย์ต่อคำสัญญาเสมอ สละชีวิตเพื่อคุณได้ คุณเป็นคนพิเศษสำหรับเขาเสมอ เพื่อนคนนี้ชื่อ พระเยซู
แล้วเราต้องใช้เวลานานเท่าไรที่จะมีเพื่อนสนิทกับเขาสักคน คุณต้องใช้เวลาศึกษากันนานแค่ไหน กว่าคุณจะแน่ใจว่าเขาคือเพื่อนสนิทของคุณ หากความสัมพันธ์ของคนเรายังต้องใช้เวลา ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเยซูก็เช่นกัน ต้องใช้เวลาเรียนรู้จักพระองค์มากขึ้นทุกๆวัน วิธีต่อไปนี้เป็นแนวทางที่จะช่วยให้คุณได้รู้จักเพื่อนคนนี้และสนิทกับเขามากยิ่งขึ้น
1. การมาคริสตจักร
การมาคริสตจักร/โบสถ์ ไม่ใช่กฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับ แต่เป็นการนัดพบที่จะทำให้คุณได้รู้จักกับพระเยซูมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการได้มีโอกาสแสดงความรักของคุณต่อพระองค์ โดยการนมัสการสรรเสริญพระองค์ในพระนิเวศของพระองค์ และฟังคำเทศนาสั่งสอนจากอาจารย์ศิษยาภิบาล ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใจพระคำของพระเจ้า อีกทั้งจะได้พบกับพี่น้องคริสเตียนคนอื่น ซึ่งสามารถให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ ช่วยเหลือ เมื่อคุณมีปัญหา/ข้อสงสัย คุณจะได้สัมผัสถึงการทรงสถิตอยู่ของพระองค์ในชีวิตของพี่น้องคริสเตียนอื่นๆ จะทำให้คุณมีความเชื่อและเติบโตทางด้านจิตวิญญาณมากยิ่งขึ้น
2. การเข้ากลุ่มพัฒนาชีวิต (กลุ่มกพช.)
ถึงแม้การไปร่วมนมัสการที่คริสตจักรช่วยให้คุณได้รับการพัฒนาความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ระดับหนึ่งแล้วก็ดี แต่การเข้าร่วมประชุมกลุ่มพัฒนาชีวิต หรือ กลุ่มกพช. หรือโดยทั่วไปเรียกว่ากลุ่มเซล (Cell) เป็นช่องทางสำคัญอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยผู้เชื่อทุกคนในการพัฒนาความสัมพันธ์กับพระเจ้าและความสัมพันธ์กับพี่น้องคริสเตียนได้ดียิ่งขึ้น
กลุ่มกพช. เป็นการร่วมกลุ่มขนาด 4-12 คนระหว่างสัปดาห์ ร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การศึกษาพระคัมภีร์ร่วมกัน การอธิษฐานและนมัสการพระเจ้า การประกาศและเป็นพยานในความดีที่พระเจ้าทำเพื่อเรา เป็นต้น เนื่องจากกลุ่มกพช.เป็นกลุ่มขนาดเล็กทำให้สมาชิกที่อยู่ในกลุ่มสามารถช่วยให้คำปรึกษาและแนะนำผู้เชื่อใหม่ได้เป็นอย่างใกล้ชิดกว่า รวมทั้งภายในกลุ่มสามารถช่วยอธิษฐานเผื่อปัญหาต่างๆระหว่างกันได้ดีกว่าเช่นกัน การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้องคริสเตียนภายในกลุ่มจะช่วยให้คุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้ามากขึ้นด้วย
3. อธิษฐานส่วนตัว
การอธิษฐานเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่คุณสามารถพูดคุยกับพระองค์ ให้ทุกวันของคุณได้มีโอกาสใช้เวลาสงบต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ในสถานทีที่เป็นการส่วนตัวกับพระองค์เป็นประจำสัก 10-15 นาที ในตอนเช้าหรือก่อนเข้านอน ที่จะพูดคุณกับพระองค์ สำหรับการอธิษฐานนั้นไม่มีรูปแบบตายตัวว่าต้องอยู่ในท่านั้นหรือท่านี้ตลอด อีกทั้งในระหว่างการดำเนินชีวิตในแต่ละวันคุณก็สามารถอธิษฐานต่อพระองค์ได้ทุกสถานที่และทุกเวลาที่คุณระลึกถึงพระองค์ หรือต้องการกำลังใจ หรือการช่วยเหลือ คุณไม่จำเป็นจะต้องใช้ศัพท์สูงๆ หรืออธิษฐานยืดยาว พระองค์ไม่เคยสนพระทัยว่าคุณอธิษฐานได้ไพเราะขนาดไหน แต่สนใจที่หัวใจของคุณต่างๆหาก ดังนั้นคุณจึงพูดคุยกับพระองค์ได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กประติ้วหรือหนักหนาสาหัสแค่ไหน พระองค์มีเวลาให้คุณเสมอ
4. การนมัสการ
คุณสามารถร้องเพลงนมัสการพระเจ้าเวลาใดก็ได้ที่คุณระลึกถึงพระองค์ หรือก่อนการอ่านพระคัมภีร์ หรือก่อนการอธิษฐาน เนื้อหาของเพลงนมัสการพระเจ้าโดยทั่วไปเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการสรรเสริญความดีงาม ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า หรือระบายความในใจของเราในการอยากใกล้ชิดพระเจ้า ระบายความทุกข์ร้อนที่ต้องการในพระองค์ช่วยกู้ และการขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงช่วยเหลือเราเป็นต้น
โดยทั่วไปการนมัสการจะควบคู่ไปกับการอธิษฐานเสมอ คุณสามารถนมัสการ (ร้องเพลง) สลับไปกับการอธิษฐานต่อพระเจ้า พระคัมภีร์สอนเราว่า พระเจ้าสถิตอยู่เหนือการนมัสการพระองค์ เมื่อนมัสการพระเจ้าคุณจะสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าในเวลานั้น เนื้อเพลงนมัสการพระเจ้าจะช่วยในจิตใจของคุณได้ใกล้ชิดพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้น และในหลายกรณีการนมัสการพระเจ้าช่วยให้ความเชื่อของเราเพิ่มขึ้นด้วย
คุณควรหาเวลาส่วนตัวในการนมัสการพระเจ้าทุกวันอย่างสม่ำเสมอ อาจจะวันละหลายๆครั้งก็ได้ และการร้องเพลงนมัสการพระเจ้าไม่จำเป็นต้องออกเสียงเสมอไป ดังนั้นคุณสามารถร้องเพลงนมัสการพระเจ้าในใจเมื่อใดก็ได้เช่นกัน
5. อ่านพระคัมภีร์
พระคัมภีร์คือถ้อยคำพระเจ้ามาถึงคุณ แม้ขณะที่คุณจะมองไม่เห็นพระองค์ แต่พระองค์ก็ได้ให้พระคำของพระองค์มายังคุณเพื่อคุณจะรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้น พระเจ้าจะทรงตรัสกับคุณได้ทุกวันโดยผ่านพระคัมภีร์ พระองค์ทรงเปิดเผยถึงความรัก พระลักษณะของพระองค์ ตลอดจนพระประสงค์ของพระองค์ผ่านพระคัมภีร์ ขอให้คุณอ่าน ศึกษา ใคร่ครวญพระคำของพระเจ้าทุกวัน (ซึ่งคุณจะศึกษาพระคัมภีร์โดยใช้คู่มือเฝ้าเดี่ยวก็ได้) ว่าพระคำตอนนั้นพระองค์ทรงต้องการบอกอะไร พระองค์รู้สึกอย่างไร ในขณะที่คุณกำลังอ่านพระคัมภีร์ให้คุณอธิษฐานขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้สติปัญญาและความเข้าใจกับคุณ เพื่อให้คุณสามารถนำสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ แต่หากคุณมีข้อสงสัยในข้อพระคำที่คุณอ่าน ขอให้ปรึกษากับศิษยาภิบาลของคริสตจักร หรือพี่เลี้ยงของคุณที่ทางคริสตจักรได้จัดให้จะช่วยให้คุณมีความเข้าใจพระคำของพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้น
ถ้าคุณสนใจในการอ่านพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอและนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อฟังแล้ว ในไม่ช้าคุณจะสนิทสนมกับเพื่อนสนิทของคุณคนนี้มากขึ้น คุณจะทราบได้ว่าพระองค์ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และคุณควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อเป็นที่ชอบพระทัยพระองค์
ความสำคัญของความรอดที่ได้รับ
ก่อนอื่นอยากทำความเข้าใจก่อนว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปและทุกคนได้ทำความผิดบาปไม่มากก็น้อย แม้เพียงเรามีความคิดที่ไม่ดีหรือมีความคิดที่ชั่วร้ายก็เท่ากับเราได้กระทำความบาปแล้ว ซึ่งความบาปเหล่านั้นจะนำเราไปสู่การลงโทษเมื่อเราได้จากโลกนี้ไป และเรายังได้รับผลของความบาปเมื่อเราดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ด้วย ตัวอย่างเช่นเมื่อเราลักทรัพย์เราจะถูกตำรวจจับและถูกพิพากษาให้ถูกจำคุก นี่คือการรับผลของความผิดในโลกนี้ เมื่อเราตายไปเราก็จะถูกพิพากษาอีกด้วยให้เราได้รับโทษในนรกเช่นกัน ความผิดบาปแม้เพียงเล็กน้อยของเราก็สามารถทำให้เราไม่สามารถเข้าไปสู่สวรรค์ได้ เพราะสวรรค์นั้นเป็นสถานที่ที่บริสุทธิ์ ไม่ว่าเราจะพยายามอย่างไรเราก็ไม่สามารถเป็นผู้บริสุทธิ์ได้เนื่องจากการกระทำของเราเอง
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักเราไม่ต้องการให้เราได้รับการพิพากษารับโทษในนรก และต้องติดอยู่ที่นั้นไปตลอดนิรันดร์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงหาทางช่วยเราโดยให้พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดมาไถ่บาปให้เรา พระบิดาเจ้าได้ให้พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และพระองค์ได้ถูกเฆี่ยนตีถูกทรมานให้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อรับโทษความผิดบาปของเราทั้งหมดทั้งสิ้น แต่เราต้องรับเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตของเราก่อน โดยการยอมสารภาพบาปต่อพระองค์ ขอการรับการอภัยโทษและยอมที่จะดำเนินชีวิตในวิถีทางของพระเจ้าเมื่อได้รับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์แล้วความบาปผิดของเราทั้งสิ้นจะได้รับการอภัย และเราได้รับการชำระให้เป็นผู้บริสุทธิ์โดยฤทธิ์เดชของพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เรายังได้รับสิทธิพิเศษในเป็นบุตรของพระเจ้าเช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสต์ได้รับด้วย และเมื่อเราจากโลกนี้ไปเราจะไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์เป็นนิจนิรันดร์ ไม่ต้องถูกพิพากษาให้รับโทษตามความผิดตามบาปที่เราได้กระทำไว้ในอดีตเพราะบาปของเราได้รับการไถ่แล้ว
ในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่โลกนี้พระเจ้าก็ทรงโปรดประทานให้เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ามาอยู่ในใจของเราด้วย เช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสต์ได้รับเมื่อครั้งพระองค์ดำรงค์ชีวิตอยู่ในโลก พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะช่วยให้เราได้รับสันติสุขหรือได้รับความปลาบปลื้มในจิตใจซึ่งเราจะสัมผัสได้ว่าไม่เหมือนกับความสุขหรือความปลาบปลื้มใจอื่นใดที่เราเคยได้มีประสบการณ์มาก่อนในอดีต นอกจากนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังช่วยให้ความรักจากพระเจ้าแก่เรา และช่วยให้เราสร้างความสนิทสนมกับพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้นเสมือนกับว่าพระเจ้าเดินอยู่เคียงข้างกับเราช่วยเรามีกำลังในการดำเนินชีวิต พระวิญญาณริสุทธิเป็นเสมือนที่ปรึกษาช่วยบอกหรือนำเราในเรื่องต่างๆในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและชอบธรรม
วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556
My Inspiration Quotes
"This is the beginning of a new day. You have been given this day to use as you will. You can waste it or use it for good. What you do today is important because you are exchanging a day of your life for it. When tomorrow comes, this day will be gone forever; in its place is something that you have left behind...let it be something good."
Author Unknown
Here is a test to find out whether your mission in life is complete.
If you're alive, it isn't.
Richard Bach
"I will not die an unlived life. I will not live in fear of falling or
catching fire. I choose to inhabit my days, to allow my living to open me, to make me less afraid, more accessible, to loosen my heart until it becomes a wing, a torch, a promise. I choose to risk my significance; to live so that which comes to me as seed goes to the next as blossom and that which comes to me as blossom, goes on as fruit."
Dawna Markova
When you were born, you cried and the world rejoiced.
Live your life so that when you die,
the world cries and you rejoice.
Cherokee Expression
Don't wish me happiness
I don't expect to be happy all the time...
It's gotten beyond that somehow.
Wish me courage and strength and a sense of humor.
I will need them all.
Anne Morrow Lindbergh
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)