มาสำรวจปฐมกาล โดย อ. ธวัช เย็นใจ
พระธรรมปฐมกาล ปฐก. ๑.๑-๒.๓
“ในปฐมกาลพระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และโลก
ขณะนั้นโลกยังไม่มีรูปทรงและว่างเปล่าความมืดปกคลุมอยู่เหนือห้วงน้ำ
พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเคลื่อนไหวอยู่เหนือน้ำนั้น” ปฐก.
๑.๑-๒ [1]
พระคริสตธรรมคัมภีร์
หนังสือที่ได้รับการดลใจ : ผู้ที่เป็นคริสเตียนมีความเชื่อว่า
พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า
และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี
และการอบรมในทางธรรม” (๒ ทธ. ๓.๑๖) คำว่า “ดลใจ” (Inspired by God) ในพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรู “Neschamah”
คือ “ลมหายใจขององค์ ผู้ทรงมหิทธิฤทธ์”(โยบ ๓๒.๘) ในพระคัมภีร์ใหม่ “ธีโอนิวตอส”
(Theopneustos) มีความหมายว่า “พระเจ้าทรงระบายลมหายใจ”
(God-breathed) ดังปรากฏอยู่ในพระธรรม ๒ ทิโมธี ๓.๑๖[2] ความสอดคล้อง : จากการศึกษาอย่างละเอียดทำให้เราพบว่า หนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์จำนวน
๖๖ เล่ม(ประกอบด้วยภาคพันธสัญญาเดิม ๓๙ เล่ม และภาคพันธสัญญาใหม่ ๒๗ เล่ม)
มีเนื้อหาสาระที่สอดคล้องต้องกันเป็นเสมือนห่วงโซ่ที่ร้อยเรียงต่อเนื่องอย่างไม่ขาดตอน
มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งนี้เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ทรงดลใจให้มนุษย์มีความสามารถในการเขียนและเข้าใจ
อัครสาวกเปโตรกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจข้อนี้ก่อน
คือผู้หนึ่งผู้ใดจะตีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เอาเองไม่ได้
เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความคิดในจิตใจของมนุษย์
แต่มนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา”
(๒ ปต. ๑.๒๐-๒๑) ผู้เขียน : นักศาสนศาสตร์ลงความเห็นสอดคล้องกันว่า
โมเสสเป็นผู้เขียนพระธรรมปฐมกาล รวมไปถึงพระคัมภีร์ห้าเล่มแรกที่เรียกว่า “เบญจบรรณ” ในภาษาเดิมเรียกว่าโทราห์ (Torah) ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปฐมกาล อพยพ เลวีนิติ กันดารวิถี และเฉลยธรรมบัญญัติ
พระคัมภีร์กล่าวว่า “โมเสสจึงจารึกพระวจนะของพระเจ้าไว้ทุกคำ”
(อพย. ๒๔.๔) “โมเสสได้เขียนจดหมายนี้และมอบให้แก่ปุโรหิตบุตรหลานของเลวี...”
( ฉธบ. ๓๑.๙)
ในพระคัมภีร์ใหม่เราพบว่า
พระเยซูคริสต์ทรงยอมรับว่าหนังสือห้าเล่มแรกได้รับการดลใจมาจากพระเจ้า
ในพระกิตติคุณพระองค์ทรงอ้างบ่อยๆถึงหนังสือเบญจบรรณของโมเสส “เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานธรรมบัญญัติทางโมเสส
ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์” (ยน. ๑.๑๗ ดู มก.
๑๒.๑๙, ลก.๔.๑๖-๑๗, มธ. ๑๙.๔-๘,
มก. ๑๐.๓-๙, ยน. ๗.๒๑-๒๓ )การเขียน/วันเวลา :
จากการศึกษาค้นคว้าของนักการศึกษาพระคัมภีร์ได้พบว่า
โมเสสได้เขียนปฐมกาลขณะที่ท่านพาชนชาติอิสราเอลอพยพและรอนแรมอยู่ในทะเลทรายมีเดียน
ภายหลังจากที่พบกับพระเจ้า ณ ภูเขาซีนายแล้ว คาดว่าน่าจะเขียนขึ้นในระหว่างปี กคศ.
๑๔๔๕-๑๔๐๕ โจซีฟัสซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของชาวยิวในอดีต
ก็เชื่อเช่นเดียวกันว่ามีหนังสือพระคัมภีร์ห้าเล่มที่โมเสสได้เขียนขึ้นในช่วงที่พาชนชาติฮีบรูอพยพออกจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์
และเดินทางอยู่ในทะเลทรายเป็นเวลา ๔๐ ปี
ก่อนที่จะเข้าสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าหนังสือเพนเตตุ๊ค (Pentateuch)
ชื่อของหนังสือ : ปฐมกาล (Genesis) มาจากภาษาฮีบรูว่า
“เบรชิทห์” (Breshith) ซึ่งในภาษากรีกหมายถึง
“การเริ่มต้น” ในภาษาลาตินหมายถึง “ต้นกำเนิด”
แต่อย่างไรก็ตามขอให้ผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ได้เข้าใจว่า
จุดประสงค์ของปฐมกาลไม่ใช่เป็นอธิบายเรื่องราวของหนังสือวิทยาศาสตร์
แต่เป็นหนังสือที่แนะนำให้เราได้รู้จักพระเจ้าพระผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่สูงสุด
โครงสร้างของพระธรรมปฐมกาล
๑) เรื่องราวของพระเจ้ากับมนุษยชาติ
- พระเจ้าทรงสร้างโลก (บทที่ ๑-๒)
-
มนุษย์ผิดพลาดและตกลงในความผิดบาป (บทที่ ๓-๕)
- เหตุการณ์น้ำท่วมโลก (บทที่ ๖-๙)
- กำเนิดชนชาติต่างๆ (บทที่ ๑๐-๑๑)
๒) เรื่องราวพระเจ้ากับชนชาติอิสราเอล
-
เรื่องราวของอับราฮัม (บทที่ ๑๒-๒๓)
- เรื่องราวของอิสอัค (บทที่ ๒๔-๒๖)
-
เรื่องราวของยาโคบ (บทที่ ๒๗-๓๖)
- เรื่องราวของโยเซฟ (บทที่ ๓๗-๕๐)
การเนรมิต(สร้าง)
สิบเอ็ดบทแรก : พระธรรมปฐมกาลใน ๑๑
บทแรกนี้เป็นส่วนที่มีความสำคัญมากสำหรับคริสเตียน (พระคัมภีร์เดิมและใหม่มี ๑,๑๘๙ บท) เพราะได้กล่าวถึงว่าพระเจ้าทรงเนรมิตโลกและจักรวาล
พร้อมกับเริ่มสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ตอนนี้
คือ อาดัม เอโนค และโนอาห์ เรื่องที่น่าสนใจมากก็คือ
เป็นพระคัมภีร์เพียงตอนเดียวที่กล่าวถึงของพระเจ้าทรงหยุดพักพระราชกิจของพระองค์ “วันที่เจ็ดพระเจ้าทรงเสร็จงานของพระองค์ที่ทรงกระทำมานั้น
ในวันที่เจ็ดนั้นก็ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ พระเจ้าจึงอวยพระพรแก่วันที่เจ็ด
ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
เพราะในวันนั้พระองค์ทรงหยุดพักจากการงานทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำในการเนรมิตสร้าง”
(๒.๒-๓)
การทรงสร้าง :
พระธรรมปฐมกาลได้กล่าวถึงพระราชกิจแห่งการสร้าง เราอ่านพบว่า
อาดัมเป็นมนุษย์คนแรกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น
และ
คาอินเป็นมนุษย์คนแรกที่คลอดจากครรภ์มารดา (๑.๒๖, ๔.๑)
อาแบลเป็นมนุษย์คนแรกที่ต้องตาย
และเอโนคเป็นคนแรกที่ไม่ได้พบกับความตาย(๔.๘,๕.๒๔)
นอกจากนั้นเรายังได้พบเรื่องราวของงู กาและนกพิราบ (๓.๑, ๘.๗,๙) คนที่มีอายุยืนที่สุดในโลกคือ เมธูเซลาห์
เขามีอายุยาวนานถึง ๗๘๒ ปี แต่นักศาสนศาสตร์บางคนบอกว่าเมธูเซลาห์มีอายุยืน ๙๖๙ ปี
(๔.๑๗,๕.๒๗)
ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือ
การสมรสครั้งแรกของโลกอีกด้วย นักการศึกษาพระคัมภีร์บางคนพยายามอธิบายว่า
พระเจ้าทรงเป็นผู้ประกอบพิธีแต่งงานและให้โอวาท ส่วนแขกเหรื่อที่มาเป็นเกียรติในงานก็เป็นพวกสัตว์นานาชนิด
และอาหารบุฟเฟ่ก็ได้แก่ผลไม้อันดกดื่นที่มีอยู่ในสวนเอเดนนั้นเอง
สิ่งสำคัญในพระธรรมปฐมกาล
:
ประการแรก เราได้เห็นความยิ่งใหญ่แห่งการทรงสร้างอย่างอัศจรรย์ของพระเจ้า “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” (๑.๑)
ประการที่สอง แม้ว่ามนุษย์คู่แรก (อาดัมกับเอวา)ได้ทำความผิดบาป
ไม่เชื่อฟังพระดำรัสสั่งและหลงทางไป
แต่พระเจ้าทรงไว้ช่วยกู้โดยผ่านทางชายผู้ชอบธรรมคนหนึ่งชื่อโนอาห์ (๖.๘)
และท้ายสุดพระคุณและความรอดนั้นมาทาง “พงศ์พันธ์ของหญิง”
(๓.๑๕) คือพระเยซูคริสต์ ยอห์นได้บอกความจริงในเรื่องนี้ว่า “พระวาทะ(พระเยซู)ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา
บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” (ยน. ๑.๑๔)
ประการที่สาม
ในพระธรรมปฐมกาลเราได้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์
ประการที่สี่
ในขณะเดียวกันความรุ่งเรืองก็มาพร้อมกับความโหดร้ายทารุณ
มีฆาตกรคนแรกของโลกโผล่หน้าออกมา “เมื่อยู่ที่นาด้วยกัน
คาอินก็โถมเข้าฆ่าอาแบลน้องชายของตนเสีย”(๔.๘)
แต่ถึงกระนั้นก็มีพระสัญญาของพระเจ้าไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วถึงผู้ไถ่ซึ่งจะเสด็จมาช่วยให้รอด
(๓.๑๕)
ประการที่ห้า เมื่อมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้าผู้สร้างก็เริ่มหันไปนับถือศาสนาที่ตนเองสร้างขึ้น
เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่อาดัมกับเอวาซึ่งเป็นมนุษย์คู่ของโลกได้เชื่อฟังคำของมารซาตานที่เข้ามาในคราบของงู
และล่อลวงให้ทำความผิดบาป พระคัมภีร์บอกว่า พวกเขาจึงไปเอา “ใบมะเดื่อ”
มาเย็บเป็นเสื้อผ้าปกปิดร่างกาย (ใบมะเดื่อเปรียบเหมือนกับศาสนาที่สอนให้มนุษย์ปกปิดความผิดบาป
และพึ่งในคุณงามความดีของตนเอง)
และการที่พระเจ้าทรงประทานเสื้อผ้าที่ทำด้วยหนังสัตว์
(ซึ่งต้องมีการฆ่าแกะ)ให้แก่คนทั้งคู่นั้น
เป็นภาพของการที่พระเยซูคริสต์ทรงยอมตายเพื่อไถ่โทษบาป (๓.๗,๒๑)
“พระเยซูเสด็จเข้าไปวิสุทธิสถานเพียงครั้งเดียว
และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดลูกแกะแพะและลูกวัวเข้าไป
แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เข้าไปและทรงสำเร็จการไถ่บาปนิรันดร์...พระโลหิตของพระเยซูคริสต์
ผู้ทรงถวายพระองค์เองแด่พระเจ้าโดยทางพระวิญญาณนิรันดร์
เป็นเครื่องบูชาที่ปราศจากตำหนิ ก็จะทรงชำระได้มากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด...
ถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย” (ฮร.
๙.๑๒.๑๔,๒๒)
ประการที่หก เมื่อโลกนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
พระเจ้าทรงลงโทษด้วยการให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่คนผิดบาปตายหมด
แต่ด้วยพระคุณของพระเจ้าทรงให้มีรอดเพียงครอบครัวเดียว มีจำนวน ๘
คนด้วยเรือที่พระเจ้าทรงบอกให้โนอาห์สร้างขึ้น ลอยอยู่ในน้ำเป็นเวลานานแรมปี
และด้วยนาวานั้นได้ช่วยแปดคนให้รอดชีวิต
และในที่สุดเรือก็มาค้างอยู่บนเทือกเขาอารารัต (๘.๔)แต่ถึงกระนั้นเราก็พบว่า
หลังจากน้ำลดลงจากแผ่นดินแล้ว มีการเพาะปลูกอย่างอุดมสมบูรณ์
และในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยเช่นนี้
ทำให้โนอาห์ที่ได้ชื่อว่าคนชอบธรรมกลายเป็นขี้เหล้าเมายาไปได้เหมือนกัน (๗.๒๑,
๙.๒๐-๒๑)
ประการที่เจ็ด ในปฐมกาลบทที่ ๑๑ มนุษย์ทวีมากขึ้นอีกครั้ง
พวกเขารวมตัวกันสร้างหอบาเบลที่สูงเทียมฟ้า ด้วยจุดประสงค์เพื่อจะไม่ต้องพลัดพรากจากกันอีก
แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้มันพังทลายลง(๑๑.๑-๔)
เพราะความคิดและความตั้งใจของพวกเขาไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ที่ตรัสสั่งว่า
“จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน” (๑.๒๘)
คำสอนในปฐมกาล
๑) มีพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว
๒) พระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
๓) ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์
๔) ความผิดบาปมีจริง
๕)
พระเจ้าทรงเป็นพระผู้ไถ่โทษมนุษย์ให้พ้นจากความผิดบาป
พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างทุกสิ่ง
เนรมิต : พระคัมภีร์ข้อแรกบอกว่า “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” (๑.๑)
ในภาษาฮีบรูได้ให้ความหมายของคำว่า
“ทรงสร้าง” คำแรกคือ “บารา” (Bara) หมายถึงการสร้างโดยไม่ใช้วัสดุ
หรือสร้างจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย (๑.๑, ๒๑, ๒๗ ๒.๔) คำที่สอง “อาซาห์” (Asah) หมายถึง การสร้างโดยใช้วัสดุที่มีอยู่ก่อนแล้ว (๑.๑๖, ๒๕, ๒๖, ๒.๒) คำที่สาม “ยัทซอร์” (Yatsor) หมายถึง การปั้นบางสิ่งบางอย่าง
(๒.๗, ๑๙) และอีกคำคือ “บานาห์”
(Banah) หมายถึงการสร้าง (๒.๒๒)
[3] แผ่นดินโลก
: พระคัมภีร์ข้อต่อมาบอกว่า “แผ่นดินก็ว่างเปล่า” (๑.๒) คำนี้ในภาษาฮีบรูหมายถึง “สับสน ว่างเปล่า
ไม่มีรูปร่าง ไม่มีระเบียบ” พระคัมภีร์ฉบับคิงเจมส์แปลดังนี้
“แผ่นดินโลกก็ปราศจากรูปร่างและว่างเปล่าอยู่” แต่มีสิ่งหนึ่งที่เคลื่อนไหวอยู่เหนือสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นนั้น คือ “พระวิญญาณบริสุทธิ์”
ฟ้าสวรรค์ :
ในพระธรรมปฐมกาลใช้คำว่า “ฟ้า” ในบทที่
๑.๑ นั้นภาษาฮีบรูหมายถึงสองอย่างคือ ฟ้าและสวรรค์ จากการศึกษาในพระคัมภีร์เราพบว่า
ฟ้าสวรรค์ชั้นที่ ๑ เป็นที่อยู่ของนกและเมฆ (ดนล. ๔.๑๒)
ฟ้าสวรรค์ชั้นที่ ๒
เป็นที่ตั้งของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ (สดด. ๑๙.๑)
ฟ้าสวรรค์ชั้นที่ ๓
เป็นที่อยู่ของเหล่าทูตสวรรค์และธรรมิกชนที่จากโลกนี้ไปแล้ว ซึ่งนักศาสนศาสตร์เชื่อว่า
เปาโลได้ขึ้นไปโดยบอกว่าถึงตนเองว่า “ข้าพเจ้ารู้จักชายคนหนึ่งที่เลื่อมใสในพระคริสต์มาสี่สิบปีแล้ว
เขาได้ถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม..เขาถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม”
(๒ คร. ๑๒.๒-๓)
เมื่อเร็วๆนี้ได้เกิดการฟื้นฟูจิตวิญญาณครั้งใหญ่ที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
แกนนำของการพลิกฟื้นชุมชน[4]อ้างว่า “ผู้นำห้าคนจากบ้านนาไคร้ได้กลับไปยังหมู่บ้านของตน
และมีการนักพบเพื่ออธิษฐานของพระเจ้าทรงพลิกฟื้นหมู่บ้านโดยเชื่อว่า
ถ้าพระเจ้าทรงสามารถทำงานในฟิจิได้ พระองค์ก็ทรงทำงานในนาไคร้ได้ด้วย
พวกเขาอธิษฐานกันเป็นประจำ หลังจากนั้นในตอนกลางเดือนมกราคม ๒๐๐๗
ในขณะนมัสการพระเจ้าทรงเริ่มสำแดงด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆเป็นนิมิต
การหายโรค การพูดภาษาแปลกๆ การที่มีบางคนได้ไปสวรรค์
และคนที่กลับใจเสียใหม่จากความบาป คนที่เกเรก็กลับมาหาพระเจ้า
ที่คริสตจักรนาไคร้เมื่อหลายปีก่อนเหลือสมาชิกเพียงสิบกว่าคน
ได้มีคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเวลานี้มี ๘๐ ครอบครัว
และหมู่บ้านนี้มีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ ๑๑๐ ครอบครัว” การทรงสร้างในวันที่หนึ่ง
พระเจ้าทรงสร้างความสว่าง กลางวันและกลางคืน (๑.๓-๕) “พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี”
(๑.๔) ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่ง ก็ใช้คำเดียวกันนี้ “ทรงเห็นว่าดี” (๑๐,๑๒,๑๘,๒๑,๒๕, และ ๓๑) เปาโลได้มองเห็นภาพแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าอย่างชัดเจน
และนำมาเปรียบเทียบกับการสร้างชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของคริสเตียน “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว
สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (๒ คร. ๔.๖)
พระเจ้าทรงสร้างจักรวาล : พระองค์ทรงสร้างเอกภพ เนบิวลา
กาแลกซี ดาราจักร ดาวหาง ทางช้างเผือก ผีพุ่งไต้หรือดาวตก อุกาบาตร
ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ รวมไปถึงพลังงานต่างๆ (เช่นพลังงานนิวเคลียร์)
เป็นการเริ่มต้นของโลกที่หมุนรอบแกนของตนเอง มีแรงดึดดูดและแรงโน้มถ่วงของโลกด้วย
โดยเฉพาะดาวเคราะห์นั้นเป็นบริวาร อันมีดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัส
ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน
ส่วนดาวพลูเพิ่งถูกสมาคมนักดาราศาสตร์ตัดออกไปจากระบบ เพราะขาดคุณสมบัติการเป็นศูนย์กลางในตัวเอง
ทูตสวรรค์ : นักศาสนศาสตร์หลายคนลงความเห็นสอดคล้องต้องกันว่า
พระเจ้าทรงสร้างบรรดาทูตสวรรค์ขึ้นในช่วงนี้ พระวิญญาณ :
พระธรรมปฐมกาลได้บันทึกถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระวิญญาณ “พระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น”
(๑.๒) ดังนั้น เราจะเห็นอย่างชัดเจนว่า
พระวิญญาณไม่ได้เป็นพระเจ้าอีกองค์หนึ่งต่างหาก หรือเสด็จมาภายหลัง
หรือมาเฉพาะในวันเพนเตคอสเท่านั้น แต่พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งตรีเอกานุภาพ
ที่สถิตอยู่ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก
วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง? : มีนักการศึกษาพระคัมภีร์หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า
วันเวลาที่กล่าวถึงในพระธรรมปฐมกาลบทที่ ๑-๒ นั้นมี ๒๔ ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
เขาให้เหตุผลว่า
เพราะถ้าพระเจ้ายังไม่ได้สร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็จะไม่สามารถนับวันเวลาเหมือนปัจจุบันได้
เรื่องนี้ควรจะเปิดเป็นกระเด็นอภิปรายในกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ต่อไปคนทั่วไปจะเริ่มนับวันเป็นเวลาเช้าและเวลาเย็น
แต่ขอให้ดูวันเวลาที่บันทึกในพระคัมภีร์ตอนนี้
จะพบว่าชาวยิวได้นับวันเวลาแตกต่างจากชาติอื่นๆ โดยเริ่มต้นที่ “เวลาเย็นและเวลาเช้า” (ปฐก. ๑.๕,๘,๑๓,๑๙,๒๓,๓๑ อพย. ๑๒.๑๘, ลวต. ๒๓.๓๒)การทรงสร้างในวันที่สอง
การทรงสร้างฟ้า : พระเจ้าทรงสร้างฟ้า (๑.๖-๘) ในข้อที่ ๖ เราจะพบคำว่า “ภาคพื้น” (ภาษาฮีบรูว่า Raqia) ควรจะแปลว่า “บรรยากาศ” ซึ่งหมายถึงที่โล่งของบรรยากาศซึ่งอยู่รอบโลก
และบรรยากาศนี้ได้อุ้มน้ำไว้จำนวนมหาศาล ซึ่งจะทำให้ฝนตกลงมายังพื้นโลกในเวลาต่อมา
แยกน้ำ : พระเจ้าทรงแยกน้ำออกจากกัน คือมีการแยกน้ำออกเป็นสองส่วน
ส่วนแรกเป็นน้ำที่อยู่ตามพื้นดินซึ่งสามารถมองเห็นได้
ส่วนที่สองเป็นน้ำที่อยู่ในอากาศซึ่งมองไม่เห็น หนังสือ “โลกดาวเคราะห์สีน้ำเงิน”
บันทึกว่า “โลกเป็นดาวเคราะห์ที่ชุ่มไปด้วยน้ำ
มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้ม ทำให้อุณหภูมิกลางวันกับกลางคืนไม่ต่างกันนัก
มีสัดสวนของก๊าซต่างๆที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิต
ในขณะที่ดาวเคราะห์ดวงอื่นที่นักดาราศาสตร์และนักบินอวกาศค้นพบและบินไปสำรวจไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้”[5]
รัศมีของโลกวัดจากขั้วโลกยาวประมาณ ๖,๓๘๖ กม.
วัดจากเส้นศูนย์สูตรยาวราว ๖,๓๗๘ กม.และโคจรด้วยความเร็วราว
๓๐ กม.ต่อวินาที โลกมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๒,๗๕๖ กม.
หมุนรอบตัวเองกินเวลา ๒๓.๕๖ ชั่วโมง หมุนรอบดวงอาทิตย์ ๓๖๕.๒๕ วัน
หมุนจากทิศตะวันตกไปทางตะวันออก (ทวนเข็มนาฬิกา) หนึ่งรอบใช้เวลาประมาณ ๒๔ ชม. (๒๓
ชม. ๕๖ นาที ๔.๐๙๐๖ วินาที) โดยแกนของโลกเอียงทำมุม ๒๓.๕ องศากับแนวดิ่งคงที่ตลอด
พื้นผิวโลกมีน้ำปกคลุมเกนกว่า ๗๐ % นั่นหมายความว่าราว ๔
ล้านตารางกิโลเมตรของพื้นโลกเป็นมหาสมุทร แม่น้ำและลำคลอง การทรงสร้างวันที่สาม
พระเจ้าทรงสร้างทะเล แผ่นดินและพืชผัก (๑.๙-๑๓)
พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงการแยกพื้นดินกับน้ำแต่เดิมนั้นน้ำปกคลุมโลกอยู่
พระเจ้าทรงสั่งให้น้ำไหลมาอยู่รวมกันเรียกว่าทะเลหรือมหาสมุทร
และมีที่ดินแห้งปรากฏขึ้นเรียกว่า “แผ่นดิน” แล้วพระเจ้าทรงสร้างพืชผักต่างๆ ขอให้สังเกตในพระคัมภีร์ตอนนี้ว่า
พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง “ตามชนิดของมัน”
การทรงสร้างวันที่สี่ พระเจ้าทรงสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว
และฤดูกาล (๑.๑๔-๑๙) ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ :
สิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดบนโลกต้องอาศัยความร้อนและพลังงานจากดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์ใหญ่กว่าดวงจันทร์ ๔๐๐ เท่า และอยู่ห่างจากโลก ๑๕๐ ล้านกิโลเมตร
ดังนั้นดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนดอุณหภูมิของโลก
ส่วนดวงจันทร์เป็นตัวกำหนดน้ำขึ้นน้ำลง มันโคจรรอบโลกทุกๆ ๒๙ วันครึ่ง
ยานอากาศสามารถเดินทางจากโลกไปถึงดวงจันทร์ในปี ๑๙๖๙ โดยใช้เวลาประมาณ ๖ วัน ดาว :
บางดวงเล็กบางดวงใหญ่ มีจำนวนนับพันๆล้านดวง อยู่ห่างไกลจากโลกมาก
จึงมองเห็นได้เฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้นหน้าที่ของดวงสว่าง :
เมื่อเราแหงนหน้าขึ้นไปในท้องฟ้าจะเห็นดวงสว่างที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น
ดวงสว่างเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นหมายสำคัญ
และเตือนให้มนุษย์รู้ถึงพระสติปัญญาของพระเจ้า (สดด. ๘.๓, รม.
๑.๑๙-๒๐) นอกจากนั้นดวงสว่างยังทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายแห่งฤดูกาลต่างๆ
แบ่งวันเดือนปี
และเป็นปฏิทินคอยแจ้งให้มนุษย์วางแผนสำหรับการเพาะปลูกพระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด
แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (ยน. ๘.๑๒)
นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงบอกให้คริสเตียนทำให้หน้าที่เป็นความสว่างของโลกด้วย ( มธ.
๕.๑๔-๑๖)
ข้อสังเกต : มีบางคนอ่านปฐมกาลบทที่ ๑ แล้วเกิดความสงสัยว่า
ทำไมพระเจ้าทรงสร้างสิ่งเล็กก่อนสิ่งใหญ่
เพราะอะไรจึงสร้างโลกก่อนที่จะสร้างดวงอาทิตย์? คำตอบที่เราพอจะหาได้ในตอนนี้คือ
ประการแรก เพื่อลำดับความสำคัญก่อนหลัง
ประการที่สอง
เพื่อป้องกันมิให้มีการกราบไหว้ พระองค์ต้องการให้นมัสการพระผู้สร้าง (The
Creator) แทนที่จะนมัสการสิ่งที่ถูกสร้าง (The Creature)
ยากอบเรียกพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ว่า “พระบิดาแห่งดวงสว่าง”
(ยก. ๑.๑๗)ทูตสวรรค์ : แล้วบรรดาทูตสวรรค์ล่ะ พระเจ้าทรงสร้างพวกเขาในช่วงไหน?
เพราะตั้งแต่วันที่ ๑ – ๗ ในพระคัมภีร์ปฐมกาล
ไม่ได้กล่าวถึงการทรงสร้างบรรดาทูตสวรรค์เลย แต่จากการศึกษาในพระธรรมโยบจะพบว่า
มีการสร้างทูตสวรรค์พร้อมกับดวงดาวทั้งหลาย (โยบ ๓๘.๗)
ถ้าตีความตามพระคัมภีร์ตอนนี้ ก็หมายความว่า บรรดาทูตสวรรค์ถูกสร้างขึ้นในวันที่สี่นั่นเอง
แต่นักศาสนศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า พระเจ้าทรงสร้างทูตสวรรค์ขึ้นในวันแรก
การทรงสร้างในวันที่ห้า สัตว์บกและทะเล :
พระเจ้าทรงสร้างสิ่งที่มีชีวิตในทะเลและในอากาศ (๑.๒๐-๒๓)
พระองค์ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตรุ่นแรกในทะเล ด้วยการตรัสว่า “น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต”
พระเจ้าทรงอวยพระพรสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น
ในภาษาฮีบรูตอนนี้ใช้คำว่า “สร้าง” (Bara) คือ สร้างจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย
หรือโดยไม่ต้องใช้วัสดุสิ่งเล็กและสิ่งใหญ่ :
พระเจ้าทรงสร้างสิ่งที่เล็กที่สุดไปจนถึงสิ่งที่ใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ตัวหนอน
นกฮัมมิ่งจนถึงช้างและปลาวาฬสีน้ำเงิน (ปลาวาฬชนิดนี้ยาว ๑๑๐ ฟุต และหนัก ๑๕๐ ตัน
เท่ากับเครื่องบินโบอิ้ง ๗๓๗) การทรงสร้างในวันที่หก สัตว์ต่างๆ :
พระเจ้าทรงสร้างชีวิตสัตว์บนแผ่นดิน และสร้างมนุษย์ (๑.๒๔-๒๕, ๑.๒๖-๒.๒๕) ในพระคัมภีร์ตอนนี้เราจะพบว่า พระองค์ทรงสร้างสัตว์พวกแรกคือ
สัตว์ใช้งานซึ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ สัตว์พวกที่สองคือ สัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน
และพวกที่สามคือ สัตว์ป่าการทรงสร้างมนุษย์ : “แล้วพระเจ้าตรัสว่า
ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา” (๑.๒๖)
ขอสังเกตคำว่า “เรา” ในพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นพหูพจน์
(ปฐก. ๑๑.๗, สดด. ๒.๗, ๔๕.๗, ๑๑๐.๑, อสย.
๔๘.๑๖)หมายถึงเป็นพระราชกิจร่วมกันของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์
ที่เรียกว่า “องค์แห่งตรีเอกานุภาพ” ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า
มนุษย์เป็นสิ่งสุดยอดในการทรงสร้างของพระเจ้า ซึ่งประกอบด้วยสามส่วน คือ ส่วนที่มองเห็นได้เรียกว่าร่างกาย
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์เรียกว่าจิตใจและและส่วนที่อยู่ภายในและเป็นอยู่นิรันดร์เรียกว่าจิตวิญญาณ
แตกต่างจากสัตว์ที่มีเพียงร่างกายและความรู้สึกเท่านั้น
ตามฉายา/ตามอย่างของพระเจ้า : ฉายา มาจากภาษาฮีบรูว่า “เทสเลม”
(teslem) หมายถึงเงา การถ่ายภาพเหมือน หรือคล้ายคลึงกัน และคำว่า “ตามอย่าง” มาจากภาษาฮีบรู dmuwth หมายถึงรูปแบบ รูปร่าง แบบอย่าง หรือ “เหมือนกับ”
มนุษย์เหมือนกับพระเจ้า :
ในพระคัมภีร์ได้กล่าวว่ามนุษย์มีความเหมือนกับพระเจ้าอย่างไร? ซึ่งพอสรุปเป็นแนวทางได้ดังนี้ ประการแรก มนุษย์มีความเหมือนกับพระเจ้า
คือ มีความรู้ ความคิด (สติปัญญา)และความสามารถในการหาเหตุผลประการที่สอง
มนุษย์มีจิตสำนึก หรือจิตใต้สำนึก มีความรู้ดีรู้ชั่ว
ต่างจากสัตว์ที่มีเพียงสัญชาตญาณเท่านั้นประการที่สาม
มนุษย์มีความสามารถในการเลือก คือ เลือกที่จะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร
เลือกทางเดินหรือวิถีชีวิต อีกทั้งยังมีความคิดสร้างสรรค์
พัฒนาและปรับปรุงแก้ไขอีกด้วยประการที่สี่ มนุษย์มีความตั้งใจ ประการที่ห้า
มนุษย์มีวิญญาณนิรันดร์
ตรงข้ามกับสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่ปราศจากจิตวิญญาณประการที่หก
มนุษย์สามารถพูดได้ประการที่เจ็ด มนุษย์สามารถทำงานได้
สัตว์จะทำงานต่อเมื่อถูกบังคับ หรือทำโดยสัญชาตญาณ และประการที่แปด
ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญมาก คือมนุษย์สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้
ในบรรดาสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น มีเพียงทูตสวรรค์และมนุษย์เท่านั้น
ที่รู้ว่ามีพระเจ้าและสามารถเข้าไปถึงพระพักตร์ของพระองค์ได้วันที่เจ็ด
พระเจ้าทรงหยุดพักพระราชกิจของพระองค์ (๒.๑-๓)
การหยุดพัก : ในพระธรรมปฐมกาลบทนี้
เป็นพระคัมภีร์เพียงตอนเดียวที่บอกถึงการหยุดพักของพระเจ้า การหยุดมีความหมาย ๒
ประการ คือ
อย่างแรกหมายถึง การหยุดพักสำหรับพระเจ้า หมายถึงเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการทรงสร้างแล้ว
(๒.๒)
อย่างที่สองการหยุดพัก ยังมีความหมายสำหรับมนุษย์ คือ
ให้ทำงานหกวันและหยุดพักหนึ่งวัน เพื่อเป็นวันแห่งพระพร
และนมัสการพระเจ้าโดยถือเป็น “วันบริสุทธิ์” (๒.๓)
วันบริสุทธิ์ : ต่อมาภายหลังเรียกว่า “วันสะบาโต”
(Shabath) แปลว่า “การพักและแสวงหาพระเจ้า”
พระเจ้าทรงให้คนอิสาราเอลมีวันพัก(เพื่อระลึกถึงพระเจ้า)
และละเว้นการทำงานทุกอย่าง (อพย. ๒๐.๘-๑๑)
ข้อสรุป :
เมื่อพระเจ้าทรงสร้างสิ่งสารพัดอย่างครบบริบูรณ์แล้ว พระคัมภีร์บอกว่า
พระองค์ทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ “ทรงเห็นว่าดีนัก”
(๑.๓๑)หมายเหตุ มีทฤษฎีว่าด้วยเรื่องการทรงสร้าง
ที่มักจะทำให้ผู้คนที่อ่านพระธรรมปฐมกาลเกิดความสงสัยและไขว้เขวว่า
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่
หรือว่าเป็นเพียงตำนานและเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาเท่านั้น ทฤษฎีนี้กล่าวว่า “เรื่องการสร้างโลกในบทนี้ สันนิษฐานว่ามาจากตำนานสงฆ์ (ปุโรหิต – ผู้เขียน) การเล่าตอนนี้มีลักษณะเป็นนามธรรม
และเป็นความคิดทางเทววิทยามากกว่าขอความตอนต่อไป (ปฐก.
๒.๔ข-๒๕)...พระคัมภีร์เล่าเรื่องโดยใช้วิทยาการยุคโบราณ
จึงไม่ถูกต้องที่จะหาความสอดคล้องกันระหว่างเรื่องที่เล่าสั้นๆนี้กับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
แม้ผู้เขียนใช้ภูมิหลังจากตำนานเทพของลัทธิพหุเทวนิยมซึ่งชาวตะวันออกไกลโบราณคุ้นเคย...”
“ผู้เขียนจากตำนานสงฆ์ได้รวบรวมความคิดถึงเรื่องพระเจ้าซึ่งเป็นจิต
เข้ากับเรื่องเล่าที่โบราณกว่าในการเนรมิตสร้างสำนวนที่สอง..” “การเล่าเรื่องการสร้างหญิงดูเหมือนจะมาจากธรรมประเพณีอีกสายหนึ่ง...”
[6]
มีอีกทฤษฎีหนึ่งที่เรียกว่า “ทฤษฎีช่องว่างระหว่างการทรงสร้าง”
(The Gap Theory) ซึ่งอยู่ระหว่างปฐมกาล บทที่ ๑.๑ กับบทที่ ๑.๒
ซึ่งก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้
โลกถูกทำลาย :
นักศาสนศาสตร์บางคนเชื่อว่า โลกของเราได้ถูกทำลายลงครั้งหนึ่งแล้ว
และได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ โดยให้สังเกตคำว่า “แผ่นดินก็ว่างเปล่า”
(๑.๒) และโยงเข้ากับคำกล่าวของผู้เขียนสดุดี “มาเถิด
มาดูพระราชกิจของพระเจ้าว่า พระองค์ทรงกระทำให้เริศร้างในแผ่นดินโลกอย่างไร”
(สดด. ๔๖.๘) ในคำเผยพระวจนะของเยเรมีย์ที่บอกไว้ค่อนข้างชัดเจน “ข้าพเจ้ามองดูที่พื้นโลก และนี่แน่ะมันเป็นที่ร้างและว่างเปล่า
และมองดูฟ้าสวรรค์ ในนั้นไม่มีความสว่าง” (ยรม. ๔.๒๓)
ในข้อต่อมาก็บอกถึงผลของการทำลายโลกว่า ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ไม่มีนก เรือกสวนไร่นาก็ถูกทำลายเสียสิ้น
“เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า แผ่นดินทั้งหมดจะเป็นที่เริศร้าง
ถึงกระนั้นเราก็ยังมิได้กระทำให้ถึงอวสานทีเดียว” (ยรม.
๔.๒๗)
เทวดาตกสวรรค์ : นักศาสนศาสตร์หลายคนเชื่อในพระคัมภีร์ตอนนี้ว่า
เป็นช่วงเวลาที่ซาตานถูกขับไล่ลงมาจากสวรรค์ ลงสู่โลกมนุษย์
แต่นักศาสนศาสตร์อีกหลายคนมีความเห็นว่า
ดูเหมือนซาตานตกลงมาจากสวรรค์จะเกิดขึ้นในระหว่างปฐมกาลบทที่ ๑-๒ นี้
ข้อมูลที่จะช่วยให้เข้าใจเรื่องนี้อยู่ในพระธรรมอิสยาห์บทที่ ๑๔ และเอเสเคียลบทที่
๒๘ ซึ่งเราจะศึกษาและอภิปรายกันในบทต่อไป.
- พระเจ้าทรงสร้างโลก (บทที่ ๑-๒)
“ทรงสร้าง” คำแรกคือ “บารา” (Bara) หมายถึงการสร้างโดยไม่ใช้วัสดุ หรือสร้างจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย (๑.๑, ๒๑, ๒๗ ๒.๔) คำที่สอง “อาซาห์” (Asah) หมายถึง การสร้างโดยใช้วัสดุที่มีอยู่ก่อนแล้ว (๑.๑๖, ๒๕, ๒๖, ๒.๒) คำที่สาม “ยัทซอร์” (Yatsor) หมายถึง การปั้นบางสิ่งบางอย่าง (๒.๗, ๑๙) และอีกคำคือ “บานาห์” (Banah) หมายถึงการสร้าง (๒.๒๒)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น